Friday 29 June 2012

หัดเขียน 12


สรุปแล้วรางวัลที่อยากได้คือนิยายตอนใหม่ใช่ไหมคะ งั้นนี่เลยค่ะรางวัลมาอัพให้ก่อนไปกินข้าวกลางวัน แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ตรวจทานอย่างละเอียดเท่าไหร่นะคะ อาจจะมีพิมพ์ผิด เขียนไม่เข้าใจ ก็ทนอ่านไปละกันนะคะ

บทที่  ๑๑

เบญจ์กับณีนนาราตกลงที่จะอยู่เที่ยวทะเลด้วยกันอีก 2 วัน ก่อนที่จะต้องกลับไปทำงานให้เสร็จเรียบร้อย

“คืนนี้นอนกับเบญจ์นะคะ ไม่ต้องไปเปิดห้องใหม่หรอกเสียดายเงินห้องนี้ออกกว้างขวาง นะคะๆ”

“แล้วจะนอนยังไงล่ะคะ ห้องนี้มีเตียงเดียวนี่นา”

“นอนได้สิคะเบญจ์นอนไม่ดิ้นนะคะ จะนอนเฉยๆไม่ก่อกวนอะไรเลยรับรองค่ะ” เบญจ์หันไปจับมือณีนนาราพร้อมส่งสายตาอ้อนวอนไปให้

“ไม่เป็นไรค่ะ เบญจ์ไม่ก่อกวนเดี๋ยวณีนก่อกวนเอง”  ณีนนาราพูดแบบหน้าตายแล้วยักคิ้วให้เบญจ์

“โอ๊ย ณีนพูดอย่างนี้เป็นด้วยเหรอเนี้ยะ ไปกินข้าวเย็นกันดีกว่า คืนนี้จะได้มีเวลานั่งคุยกันนานๆ”  เบญจ์พูดแล้วรีบมาจูงมือณีนนาราออกไปห้องอาหาร

สองสาวไปนั่งกินข้าวกันที่ห้องอาหารของโรงแรมเพราะณีนนาราบอกว่าเหนื่อยไม่อยากออกไปข้างนอก เนื่องจากเมื่อเช้าตื่นแต่เช้าขับรถมาที่นี่ เมื่อทั้งคู่กินอาหารเสร็จจึงรีบกลับไปพักผ่อนที่ห้อง

“เหนื่อยเหรอคะ ไปอาบน้ำก่อนไหมจะได้นอนพัก พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันไงคะ”

“ไม่อะยังไม่อยากอาบน้ำ ขอนั่งดื่มชา Camomile กับดูดาวได้ไหมคะ”

“ได้เลยค่ะ เดี๋ยวเบญจ์โทรไปสั่ง room service ให้นะคะคนดี แต่วันนี้ไม่ดื่มไวน์เป็นเพื่อนเบญจ์หน่อยเหรอ”

“ไม่ค่ะ ไม่อยากเมาเดี๋ยวโดนเบญจ์แกล้ง”

เมื่อ room service นำเครื่องดื่มมาส่งทั้งคู่จึงนั่งอยู่ริมระเบียงจิบเครื่องดื่มไปดูดาวไป

“เอ่อ ณีนคะ” เบญจ์อึกอักพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง

“มีอะไรคะ ดูทำท่าเข้า”

“คือว่า เบญจ์ขอกอดณีนได้ไหมคะ”  เบญจ์ตัดสินใจรีบพูดออกไป

“โหยเรื่องแค่นี้เองได้อยู่แล้วค่ะ มานี่มาณีนกอดเบญจ์เอง  ณีนอาจจะแสดงออกไม่เก่งหรือไม่แสดงออกเวลาอยู่ในที่สาธารณะแต่ไม่ได้หมายความว่าณีนไม่รักนะคะ ณีนเคยบอกแล้วว่าเวลาณีนรักใครนั้นณีนก็จะทุ่มให้เกินร้อยค่ะ” ณีนนาราหันไปกอดเบญจ์พร้อมหอมไปที่ขมับของเบญจ์

“ไม่เอาอะค่ะแค่หอม อันนี้เพื่อนเขาหอมกัน เป็นแฟนกันต้องทำอย่างนี้ต่างหาก”   เบญจ์หันไปจุมพิตที่ปากของณีนนาราครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่ณีนนาราเอาแต่หัวเราะ เมื่อเบญจ์เห็นณีนนาราไม่ขัดขืนแล้วจึงรวบรวมความกล้าสอดใส่ลิ้นเข้าชิมความหวาน ทั้งคู่จุมพิตกันอย่างดูดดื่มแล้วณีนนาราก็ผลักตัวออกห่างด้วยอาการหายใจไม่ทัน

“พอแค่นี้ก่อนนะคะ” ณีนนาราเอ่ยขอร้อง พร้อมด้วยอาการหน้าแดง และหายใจไม่ทัน

“ค่ะ ขอโทษนะคะ” เบญจ์ขอโทษแต่ยังคงนั่งกอดณีนนารา ก่อนที่จะตัดสินใจขอตัวไปอาบน้ำก่อน

สองสาวตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อที่จะจูงมือไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน ณีนนารามีโทรศัพท์ตามจากวรชญาให้ไปพบพรุ่งนี้เช้า ทำให้ทั้งสองตัดสินใจกลับกรุงเทพตั้งแต่บ่ายวันนี้เลย  เบญจ์ขับรถไปส่งณีนนาราที่คอนโด พอถึงคอนโดแล้วก็ไม่ยอมกลับบอกว่าพรุ่งนี้คอยเอารถไปคืนที่บ้าน ขออยู่กินข้าวเย็นกับณีนนาราก่อน ณีนนาราตกลงเพราะใจจริงเธอก็อยากมีใช้เวลากับเบญจ์ให้มากอีกนิด แต่เธอเหนื่อยเกินกว่าที่จะทำอาหารทั้งคู่เลยสั่งพิซซ่ามากิน ถือว่าเป็นการทำความรู้จักนิสัยใจคอกันอีกนิด เพราะณีนนาราชอบ Pepperoni ส่วนเบญจ์ชอบ Original แค่ Cheese กับ Tomato  ทั้งคู่นั่งดูโทรทัศน์กันอีกสักพัก ณีนนาราไม่อยากให้เบญจ์ขับรถดึกจึงขอร้องแกมบังคับให้เบญจ์คอนโดได้แล้ว แถมตอนเช้าเบญจ์ต้องขับรถไปคืนที่บ้านอีก

“ไล่กันจังเลย กลับก็ได้แต่ขอกอดทีนะคะ” เบญจ์วิ่งไปกอดแล้วแอบหอมแก้ม ทำให้ณีนนาราเขินหน้าแดง

“ขี้โกง กลับไปได้แล้วค่ะถึงห้องอย่าลืมโทรมาบอกนะคะ พรุ่งนี้เจอกันค่ะ ณีนไปสำนักงานแต่เช้าเลย”

เบญจ์โทรมารายงานตัวเมื่อถึงห้องแล้ว
“คิดถึงนะคะ แล้วก็นอนหลับฝันดีค่ะ”

“เช่นกันค่ะ”

“เช่นกันนี่ยังไงคะ คิดถึงเหมือนกันหรือนอนหลับฝันดีคะ” เบญจ์แกล้งถามเพราะรู้ดีว่าณีนนาราเขินที่จะพูดออกมา

“ทั้งสองอย่างค่ะ ไปนอนแล้วนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

วันรุ่งขึ้นณีนนาราไปพบวรชญาตั้งแต่เช้า เนื่องจากเธอมีโครงการณ์ใหม่ที่คิดว่าน่าสนใจจึงมาปรึกษาณีนนาราให้หาผู้ที่เหมาะสมมารับทำงานชิ้นใหม่นี้ เมื่อคุยงานกันเสร็จประมาณ 11.00 น. ณีนนาราเปิดประตูห้องเข้ามาเจอเบญจ์นั่งยิ้มรออยู่ที่ห้องทำงานแล้ว พร้อมชวนไปกินอาหารกลางวันร้านประจำของทั้งคู่ เมื่อทั้งคู่ไปถึงร้านอาหาร ณีนนาราแปลกใจที่เห็นปูรณ์นั่งรอที่ดต๊ะอยู่แล้ว

“มาได้ยังไงเนี้ยะยัยปูรณ์”

“เบญจ์ชวนมาเองล่ะค่ะ มาเลี้ยงขอบคุณ ถ้าไม่ได้ปูรณ์ ณีนก็คงยังนิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึกให้เบญจ์รู้เหมือนเดิม”

“ใช่ๆ นี่ผู้มีพระคุณนะ” ปูรณ์พูดพร้อมยิ้มกวนๆส่งมาให้เพื่อนรัก

“จ้า ผู้มีพระคุณ ถือว่าฉันเลี้ยงตอบแทนที่อุตส่าห์ขับรถไปส่งที่ปราณละกัน”

ทั้งสามคุยกันเรื่องสัพเพเหระ โดยเบญจ์จะโดนปูรณ์แซวตลอดเวลากับการเอาใจณีนนาราอย่างออกนอกหน้า

“นี่เบญจ์อย่าเอาใจณีนมันมากเดี๋ยวมันเคยตัว ส่วนแกคุณณีนนาราหัดแสดงความรู้สึกเยอะๆหน่อยนะเดี๋ยวเบญจ์เขาจะเบื่อแล้วทิ้งแกไปฉันขี้เกียจปลอบ”

“เออ คุณศิราณี แต่จะช่วยฉันมากถ้าแกเลิกเปลี่ยนแฟนทุกปีเหมือนกันนะ ฉันขี้เกียจนั่งฟังแกระบาย”  ณีนนาราสวนกลับไป

“กลับเถอะอิ่มแล้ว ฉันมีงานต่อด้วย  แถมนั่งเป็นก้างระหว่างข้าวใหม่ปลามันตามันร้อนน่ะ” ปูรณ์บอกพร้อมเรียกพนักงานมาเก็บเงิน

“ขับรถมาหรือเปล่า” 

“อืม เดี๋ยวต้องไปหาแม่ที่บ้านก่อน แล้วไปธุระต่อ”  ปูรณ์ตอบ

“ฝากความคิดถึง แม่กับน้องปาล์มด้วยนะ”

“จะกลับไปสำนักงานอีกไหมคะ” เบญจ์หันไปถามความเห็นจากแฟนสาว

“ไม่อะค่ะไปเดินเล่นแล้วกลับคอนโดกันเถอะ”

ทั้งสามจึงแยกย้ายกันโดยปูรณ์มีธุระที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง  ส่วนณีนนารากับเบญจ์ตัดสินใจที่จะไปเดินย่อยอาหารแล้วค่อยกลับคอนโด

“ร้อนจังเลย ขอไปล้างหน้าล้างตาหน่อยนะคะ”  เบญจ์เอ่ยขอเจ้าของห้อง

“จะอาบน้ำไหมคะ เบญจ์น่าจะใส่เสื้อผ้าของณีนได้”

“งั้นรบกวนด้วยนะคะ ขออาบน้ำแล้วจะได้มีแรงแปลงานบทสุดท้ายให้คุณเจ้านายให้เสร็จเสียที”

ณีนนาราจัดเตรียมเสื้อผ้าให้ เบญจ์ไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วมาทำงานต่อให้เสร็จโดยมี ณีนนารานั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ นานๆครั้งเบญจ์จะหันมาปรึกษาว่าควรใช้คำไหนในการแปลดี เมื่องานเสร็จก็ใกล้หนึ่งทุ่มแล้ว ณีนนาราเตรียมทำอาหารค่ำไว้แล้ว

“รู้งี้มานั่งแปลข้างๆณีนตั้งนานแล้ว งานเสร็จไวมากเลยค่ะ  ณีนทำอะไรกินคะหอมสุดๆ”

“ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์กับข้าวกล้องค่ะ แล้วก็มีซุปมิโซะใส่เต้าหู้ไว้แก้ติดคอค่ะ”

“หิวเลยค่ะ” เบญจ์บอกพลางลูบท้องทำท่าว่าหิวมาก

ทั้งคู่กินอาหารกันไปคุยกันไป เบญจ์อาสาล้างจานเมื่อกินเสร็จแล้ว ณีนนาราจึงขอตัวไปอาบน้ำแล้วจะได้ออกมานั่งดูหนังด้วยกัน โดยเบญจ์เป็นคนเลือกหนังเรื่อง La Vie En Rose หนังอัตชีวประวัติของ Edith Piaf นักร้องชื่อดังชาวฝรั่งเศส ทั้งคู่นั่งดูหนังกันไปเงียบๆ เมื่อหนังจบก็ประมาณ 22.30 น.แล้ว

“ณีนมีหนังเยอะเลยนะคะ สงสัยทีหลังเบญจ์ต้องมาขอดูบ่อยๆแล้ว”

“ดึกแล้วนะคะ จะกลับคอนโดยังไง ณีนเป็นห่วงไม่อยากให้นั่งแท๊กซี่กลับดึกๆ”

“งั้นนอนที่นี่ได้ไหมคะ สัญญาว่าจะไม่ดื้อเชื่อฟังณีนทุกอย่างเลย”

“ก็ได้ค่ะ แต่ต้องไม่ดื้อจริงๆนะคะ” ณีนนาราจึงปิดไฟให้เบญจ์ไปล้างหน้าแปรงฟัน

“เรียบร้อยแล้วค่ะ นอนได้หรือยังคะ ขอ goodnight kiss ด้วยนะคะ” เบญจ์ทำหน้าเจ้าเล่ห์

“เดี๋ยวโทรไปให้ปูรณ์ขับรถมารับไปส่งที่คอนโดเลยนี่”  ณีนนาราขู่

“นะคะ แค่ goodnight kiss เอง”

“ก็ได้ค่ะ” ณีนนาราหันไปหอมแก้มคนที่นอนอยู่ข้างๆ

“อันนั้นkiss แบบเด็กๆ ต้องแบบนี้สิคะ”  เบญจ์หันไปจุมพิตที่ปากพร้อมบดขยี้ด้วยความร้อนแรงจากความต้องการภายในใจ  อารมณ์ที่เตลิดไปตามของณีนนาราทำให้ทั้งสองใช้มือลูบไล้ไปทั่ว จนกระทั่งณีนนารารู้สึกตัว

“ไหนว่าจะไม่ดื้อไงคะ”

“ไม่ดื้อค่ะ ขอแค่กอดนอนนะคะคืนนี้ ไม่ทำอะไรถ้าณีนไม่อนุญาตค่ะ”  เบญจ์ดึงตัวณีนนาราเข้ามากอดเพื่อหยุดอารมณ์ของตัวเอง แล้วเอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวเตียง ณีนนารากล่าวขอบคุณพร้อมหอมแก้ม แล้วก็หลับไป  ส่วนเบญจ์พยายามข่มตาให้หลับเธอนอนลูบผมณีนนาราเหมือนกล่อมให้นอน จนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ทั้งคู่ดำเนินชีวิตตามกิจวัตร ถึงแม้เบญจ์จะแปลงานเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอยังคงไปที่สำนักงานทุกวัน จนทุกคนที่สำนักงานรู้ว่าทั้งสองสาวเป็นแฟนกัน โดยณีนนาราบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องไปบอกใครต่อใครว่าเธอทั้งสองเป็นอะไรกัน แค่การแสดงออกก็น่าจะพอแล้ว ณีนนารายังคงมีนัดไปกินข้าวกับปูรณ์ทุกอาทิตย์ เบญจ์ไม่ได้ตามณีนนาราไปด้วยตลอดเวลาเพราะเธอเชื่อว่าเพื่อนรักทั้งสองคงมีอะไรคุยกันเพียงลำพังบ้าง  แค่ณีนนาราพาเธอไปพบเพื่อนๆกลุ่มของเธอแล้วแนะนำว่าเป็นคนรู้ใจก็เพียงพอแล้ว 

เบญจ์มีนัดไปกินข้าวกับครอบครัว เธอจึงมาชวนณีนนาราไปด้วยกัน ในตอนแรกณีนนาราไม่แน่ใจว่าสมควรไปดีหรือไม่

“ไปเถอะค่ะ ถ้าณีนยังไม่อยากเปิดตัวว่าเป็นคนพิเศษของเบญจ์ เบญจ์ก็จะบอกว่าณีนเป็นเพื่อนนะคะ  เบญจ์อยากให้พ่อ-แม่ กับบูรณ์รู้จักณีน  แถมครอบครัวเบญจ์เคารพในการตัดสินใจที่จะรักไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นเพศอะไรก็ตามค่ะ”

“ที่ณีนไม่กล้าไปก็กลัวว่าบ้านเบญจ์จะรับไม่ได้ค่ะ เพราะที่บ้านณีนเขารับกับทางเลือกในชีวิตของณีนไม่ได้ ถ้าเบญจ์บอกไม่มีปัญหา ไปกันได้เลยค่ะ”  ณีนนาราเปิดใจกับเบญจ์

ณีนนาราได้รับการต้อนรับที่ดีจากครอบครัวเบญจ์ เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้รับความเข้าใจเช่นนี้จาก พ่อ-แม่ของเธอเลย ถึงแม้พี่ชายกับน้องสาวจะเข้าใจในตัวเธอแต่ทั้งคู่ก็ไม่กล้าที่จะช่วยพูดให้ผู้ให้กำเนิดยอมรับในสิ่งที่เธอเป็น  ขนาดจะนัดออกมากินข้าวพี่ชายกับน้องสาวยังต้องบอกไปว่ามีนัดกับเพื่อน ทุกวันเกิดของพ่อหรือแม่ณีนนาราจะเข้าไปกราบสวัสดีพร้อมกับของขวัญเล็กๆน้อยที่เธอจะสรรหามาได้ แต่ก็ได้แค่คำว่าขอบคุณ ทีหลังไม่ต้องลำบากกลับมา ไม่มีการกอดแสดงความรักความอบอุ่นมาให้เธอนานมาแล้วตั้งแต่ณีนนาราบอกเพศสภาพของเธอออกไป   

B de Beauvoir 29-06-2012 @Thailand

หวานๆกันก่อนหยุดพักผ่อนนะคะ

Thursday 28 June 2012

หัดเขียน 11


วันนี้เพิ่งได้มีโอกาสเงยหัวขึ้นมาจากกองเอกสาร หลังจากเมื่อเช้ามาตอบคอมเม้นไป ช่วงระหว่างรอก็เอานิยายมาให้อ่านค่ะ ตอนนี้เกิดอาการเขียนไม่ออก แต่จะพยายามเขียนทีละนิดๆทุกคืนค่ะ  วันนี้ดีใจที่รถเสร็จแล้ว รถไม่เป็นอะไรมากเท่าไหร่ เพียงแต่ช่างบอกว่าให้เปลี่ยนยางทั้งสี่เส้น  คาดว่าค่าซ่อม+ค่ายางครั้งนี้น่าจะสักประมาณสองหมื่นกว่า แต่ไม่รู้กว่าเท่าไหร่ต้องรอน้องชายไปเปลี่ยนยางให้ก่อนค่ะ (ยิ้มทั้งน้ำตา)  รอข้าวด้วยค่ะวันนี้มีเมนูที่คนทำนำเสนอคือข้าวผัดน้ำพริกเผา อร่อยไม่อร่อยเดี๋ยวรู้กัน

บทที่ ๑๐      

“ณีนคะ วันนี้ไปกินข้าวเย็นกับบูรณ์พี่ชายเบญจ์กันนะคะ”

“ไม่ได้หรอกค่ะ วันนี้ณีนมีงานเลี้ยงคืนสู่เหย้าที่โรงเรียนค่ะ”

“อ้าวไม่เห็นบอกเบญจ์เลย”  เบญจ์เริ่มมีอาการงอน เพราะเธอรู้สึกว่าณีนนาราจะไม่ให้ความสำคัญกับเธอบ้างเลย เธอไม่ได้ต้องการจะไปด้วยเพียงแต่แค่คำบอกกล่าวเล็กๆน้อยๆเท่านั้น

“ณีนนึกว่าบอกไปแล้วค่ะ เดี๋ยวปูรณ์มารับณีนค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงกลับถึงห้องแล้วจะโทรบอกนะคะ”  ณีนนาราเริ่มรู้สึกว่าเธอเอาใจใส่ในรายละเอียดระหว่างเธอกับเบญจ์น้อยไป อาจจะเป็นเพราะเธอเคยชินกับการใช้ชีวิตคนเดียวมากกว่า

ที่งานคืนสู่เหย้าณีนนาราได้เจอเพื่อนๆสมัยเรียนที่เคยสนิทสนมด้วยหลายคน จึงกลับคอนโดค่อนข้างดึก เธอจึงตัดสินใจไม่โทรไปรบกวนเบญจ์  แค่ส่งข้อความไปบอกว่าถึงคอนโดแล้วกำลังจะเตรียมตัวเข้านอน เหตุการณ์ดังกล่าวยิ่งเพิ่มความน้อยใจให้กับเบญจ์ว่าเธอแค่ขอให้โทรมา แต่ณีนนาราเลือกเพียงแค่ส่งข้อความ  และเหตุการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อเบญจ์ได้อ่านหนังสือพิมพ์เจอข่าวสังคมตอนกินอาหารเช้า  “ สาวเท่ ตะวัน  พัฒนาดร โชว์สวีทกับสาวในงานคืนสู่เหย้าโรงเรียนดัง หรือสาวคนนี้จะเป็นตัวจริงของคุณตะวัน ทายาทร้านเพชรชื่อดัง”  พร้อมมีรูปสาวเท่หอมแก้มผู้หญิงที่เบญจ์คุ้นหน้าเป็นอย่างมาก เพราะผู้หญิงคนนั้นคือ ณีนนารา นั้นเอง

เบญจ์รู้สึกเหมือนกับว่าเธอจะได้คำตอบทางอ้อมจากณีนนาราแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคงไม่คืบหน้าอะไร หรือว่าเธอต้องถอยเสียแล้วเพราะณีนนาราไม่เคยบอกอะไรกับเบญจ์เลย ว่าคิดอย่างไรกับเธอกันแน่ คิดจะคบหาดูใจกันอย่างจริงจังหรือไม่ เบญจ์เดินทางไปที่สำนักงานตามปกติ  งานแปลของเธอใกล้จะถึงบทสุดท้ายแล้วหรือว่าเธอควรที่จะเริ่มต้นหางานใหม่ที่นอร์เวย์ได้แล้ว เรื่องนี้ยังเป็นสิ่งที่เบญจ์ครุ่นคิดไปทำงานอย่างไม่ค่อยมีสมาธิไป

“เบญจ์คะ เหม่อคิดถึงใครคะนี่ ณีนเปิดประตูเข้ามายังไม่รู้สึกตัวเลย”

“เรื่องงานน่ะค่ะ รู้สึกว่าวันนี้แปลงานไม่ค่อยราบรื่นเลยเท่านั้นเอง”  เบญจ์พูดปดออกไป

“มาทานกลางวันกันเถอะค่ะ วันนี้ณีนงานเยอะไม่อยากออกไปข้างนอกเลยทำ BLTแซนด์วิชมาเผื่อเบญจ์ด้วยนะคะ”

“ขอบคุณมากค่ะ แล้วเย็นนี้ไปกินข้าวที่คอนโดเบญจ์ไหมคะ เบญจ์เตรียมอุปกรณ์ทำคาโบนาร่าไว้แล้วนะคะ”

“คงไปไม่ได้ค่ะวันนี้งานเยอะ แถมมีนัดกับเพื่อนสมัยมัธยมไว้ตอนสองทุ่มค่ะ”

“งั้นไม่เป็นไรค่ะ” เบญจ์พูดออกไป

หลังเลิกงานเบญจ์ไม่มีอารมณ์ที่จะกลับไปทำอาหารกินเอง เธอจึงตัดสินใจที่จะไปหาอะไรกินที่ห้างใหญ่ใกล้รถไฟฟ้าแห่งหนึ่ง หลังจากกินข้าวเสร็จเบญจ์จึงเดินดูซื้อเสื้อผ้า เมื่อเวลาใกล้สามทุ่มเธอจึงไปเดินร้านหนังสือกะว่าจะซื้อนิยายของ Sarah Waters มาอ่านระหว่างเลือกซื้อหนังสืออยู่นั้นเธอได้ยินเสียงหัวเราะอันคุ้นหู เบญจ์หันไปเจอณีนนารากำลังหัวเราะคล้องแขนกับผู้หญิงคนนั้น คนที่เธอเห็นในข่าวสังคม ณีนนาราหันมาสบตาเธอพอดีแล้วกำลังจะเดินเข้ามาหา  เบญจ์ตัดสินใจวางหนังสือลงแล้วเดินจ้ำออกจากร้านหนังสือตรงไปยังที่คิวรถรับจ้าง  เพื่อเรียกแท๊กซี่กลับบ้านทันที  เธอเลือกที่จะกลับบ้านไปเห็นหน้าครอบครัวดีกว่าต้องไปนั่งคิดมากอยู่คนเดียว โดยไม่ลืมที่จะโทรไปบอกบูรณ์ก่อนว่าวันนี้เธอจะกลับไปนอนที่บ้าน

ณีนนารานั้นมีอาการงงกับการแสดงออกของเบญจ์  ยังไงเบญจ์ก็เห็นเธอแน่แต่เดินหนีเธอทำไม แต่ณีนนาราก็คิดว่าสักครู่เธอก็จะกลับคอนโดแล้ว เดี๋ยวค่อยโทรไปหาตอนนั้นก็ได้

“ใครเหรอณีน มีอะไรหรือเปล่า”  ตะวันถาม

“เพื่อนน่ะ เป็นนักแปลด้วย สงสัยจะไม่เห็นเรามั้ง”  ณีนนาราตอบ

“เขาเห็นณีนแน่ๆ เราเห็นแววตาเขาดูเฮิร์ตๆนะ แน่ใจนะว่าแค่เพื่อนน่ะ”

“ก็ดูๆกันอยู่ๆน่ะ”

“แสดงว่าณีนไม่ได้บอกว่าเราเป็นเพื่อน แล้วเขาเห็นหน้าข่าวสังคมเมื่อวันก่อนหรือเปล่า”

“ไม่รู้ เบญจ์เขาก็ไม่ได้ถามอะไร ข่าวนั้นถ้าวันนี้ไม่ได้คุยกัน  ณีนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ ตะวันก็รู้เราไม่อ่านข่าวซุบซิบหน้าสังคม ไปส่งเราที่คอนโดหน่อยสิอยากกลับละ”

“ไม่ดูหนังสือก่อนเหรอ”

“ไม่มีอารมณ์แล้ว ไปส่งเหอะ ไม่งั้นจะไปรถไฟฟ้าเองก็ได้”

“โหใจร้อนจังกลัวไปง้อแฟนไม่ทันอะสิ ไปๆเดี๋ยวราชรถไปเกยถึงคอนโดเลย”

หลังจากณีนนาราขึ้นมาถึงห้องเธอตัดสินใจที่จะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วค่อยโทรไปหาเบญจ์เพราะคาดว่าคงต้องอธิบายกันยาวแน่คืนนี้  แต่เบญจ์ปิดโทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ ณีนนาราจึงส่งข้อความไปว่าอยากคุยด้วย ยังไงพรุ่งนี้ค่อยคุยกันที่สำนักงานก็ได้  ตอนเช้าไปที่สำนักงานสิบโมงก็แล้วณีนนาราก็ยังไม่เห็นวี่แววเบญจ์ จนกระทั่งบ่ายณีนนาราจึงตัดสินใจไปหาเบญจ์ที่คอนโด แต่ยามก็บอกว่าเบญจ์ไม่อยู่และไม่ทราบว่าไปไหน เธอจนปัญญาเพราะพยายามติดต่อเบญจ์ก็ติดต่อไม่ได้ ณีนนาราจึงกลับคอนโดแล้วก็โทรไปปรึกษาปูรณ์เพื่อนรัก

“มีอะไรคะคุณณีนนารา”  ปูรณ์ส่งเสียงมาตามสาย

“คือฉันติดต่อเบญจ์ไม่ได้ แกมีเบอร์ที่บ้านเขาไหม”

“ไม่มี  แกมีปัญหาอะไรกัน ครั้งล่าสุดที่กินข้าวด้วยกัน เบญจ์ก็ยังเอาอกเอาใจแกเป็นปกติอยู่เลยนี่นา”

“ไม่รู้ว่ะ สงสัยจะงอนเรื่องตะวัน เมื่อวานเบญจ์เจอฉันกับตะวันที่คิโนะ”

“เล่ามาให้หมด อย่ามาเล่าครึ่งๆกลางๆสิไอ้ณีน”

หลังจากนั้นณีนนาราก็เล่าเรื่องให้ปูรณ์ฟัง ด้วยการซักถามชั้นยอดของศิราณี ปูรณ์ไม่ปล่อยให้อะไรหลุดรอดไป เพราะเธอเชื่อว่าณีนนาราเพื่อนของเธอไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของเบญจ์ เนื่องด้วยเพื่อนเธอไม่เคยมีแฟนมาก่อน จึงปล่อยปละละเลยสัญญาณที่เบญจ์แสดงอาการน้อยใจออกมา

“เขาน้อยใจแกโว้ย  แกเคยบอกว่าชอบเขาบ้างหรือยัง เคยบอกเขาไหมว่าแกรู้สึกอย่างเดียวกับเขา  หัดแสดงอารมณ์บ้างสิคะคุณณีนนารา”

“ก็ทุกสิ่งที่ฉันปฏิบัติต่อเขา ไปเดินเล่นด้วย ทำแซนด์วิชมาให้เขากิน เป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยทำให้คนอื่นนะ แค่นี้เขาก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันรู้สึกยังไง”

“ไม่  ไม่พอ เพราะเขาไม่เคยรู้ว่าแกไม่เคยทำอย่างนี้กับคนอื่น ถ้าแกไม่บอกเขา เขาก็จะไม่รู้ แล้วฉันว่าเขาคงไปตั้งหลักคิดแล้วล่ะว่าจะถอยดีไหม”

“แต่ฉันเขินนี่ แกก็รู้ฉันไม่ใช่พวกแสดงอารมณ์ความรู้สึก”

“แต่แกต้องทำให้เขารู้ว่าแกคิดยังไงนะณีน”

“แล้วจะทำยังไง สำนักงานเขาก็ไม่เข้า  โทรไปก็ปิดเครื่อง”

“รอดูพรุ่งนี้ เบญจ์ยังแปลงานไม่เสร็จ เขามีความรับผิดชอบไม่ทิ้งงานหรอกน่า ยังไงเดี๋ยวต้องเข้าสำนักงานแน่ๆ”

ณีนนาราวางสายจากศิราณีจำเป็น  แต่เบญจ์ก็ไม่ได้เข้าสำนักงานอย่างที่ปูรณ์คาดการณ์   เบญจ์โทรมาบอกกับวรชญาว่า เธอขอไปแปลงานที่ริมทะเลและจะส่งงานมาให้ตรวจแก้ทาง e-mail แทน วรชญาโทรมาบอกณีนนารา   เจ้านายสาวมีความงุนงงอย่างมากที่ณีนนาราขอร้องให้เธอถามบูรณ์ว่าน้องสาวเขาไปพักผ่อนที่ไหน   หลังจากณีนนาราได้คำตอบว่าเบญจ์ไปพักรีสอร์ตที่ปราณบุรี เธอจึงขอลาพักร้อนต่อวรชญาสัก 2-3 วัน แล้วโทรไปขอร้องปูรณ์ว่าพรุ่งนี้เช้าให้ขับรถไปส่งเธอที่ปราณบุรีด้วย 

“แกเป็นคนขับไปนะณีน เพราะเดี๋ยวขากลับฉันก็เป็นคนขับกลับคนเดียว”

“อ้าวไม่อยู่ช่วยกันก่อนเหรอ”

“ไม่ แกต้องช่วยตัวเองเรื่องอย่างนี้”

เมื่อถึงที่รีสอร์ตปูรณ์รอให้เพื่อนสาวเอาสัมภาระลง พร้อมอวยพรให้โชคดี แล้วก็ออกรถกลับกรุงเทพไปเลย โดยบอกว่ามีธุระตอน 6 โมงเย็น ณีนนาราไม่รู้หมายเลขห้องของเบญจ์เธอจึงต้องไปติดต่อสอบถามที่พนักงาน พนักงานโทรไปที่ห้องพักของเบญจ์แต่ไม่มีคนรับสาย ทำให้ณีนนาราตัดสินใจนั่งรอที่บริเวณล๊อบบี้ เมื่อใกล้เที่ยงเธอเห็นคนที่เธออยากมาปรับความเข้าใจเดินผ่านเธอไปยังห้องอาหารโดยไม่สนใจสิ่งรอบๆตัวแม้แต่นิดเดียว  ณีนนาราตัดสินใจเดินตามเบญจ์เข้าไป

“ขอนั่งด้วยได้ไหมคะ หิวมากเลยยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้า”  ณีนนาราเอ่ยขึ้นพร้อมเลื่อนเก้าอี้นั่งตรงข้ามกับเบญจ์

“มาได้ยังไงคะเนี้ยะ” เบญจ์ถามด้วยความงง โดยลืมความขุ่นข้องใจก่อนหน้า

“ก็ตามมาคุยกับคนขี้งอนที่หนีมาเที่ยวไงคะ โทรศัพท์ก็ปิด แต่ขอกินข้าวก่อนได้ไหมคะแล้วค่อยนั่งคุยกันนะคะ”

“ค่ะ” เบญจ์ยังนั่งนิ่งแล้วหันไปสั่งอาหารโดยที่ไม่ลืมจะสั่งของโปรดของณีนนารามาด้วย

“อิ่มจังอร่อยด้วย ขอบคุณเจ้ามือค่ะ”  ณีนนาราพูดแล้วยิ้มเอาใจ

“งั้นณีนบอกได้หรือยังคะว่ามาคุยเรื่องอะไร”

“ไปคุยกันที่ห้องเถอะค่ะ”

เบญจ์เดินนำหน้าไปที่ห้องพักของเธอที่เป็นแบบ Pool Villa ณีนนาราแวะหยิบกระเป๋าที่ฝากไว้ที่พนักงานพร้อมกล่าวขอบคุณ และรีบเดินตามเบญจ์ไป

“ถึงห้องแล้วคราวนี้ณีนคงพูดได้แล้วนะคะ”

“ก็ณีนมาปรับความเข้าใจกับคนที่มีอะไรไม่เข้าใจก็ไม่ยอมถาม แล้วก็หนีหน้ามาที่นี่ยังไงคะ ณีนขอถามเบญจ์แค่ 2 คำถาม แล้วหลังจากนั้น เบญจ์ถามอะไรณีนก็ได้ค่ะ คำถามแรกก็คือ เบญจ์โกรธอะไรณีนหรือเปล่าถึงมาทะเลโดยไม่บอกไม่กล่าว แล้วยังปิดโทรศัพท์ด้วย”

“เบญจ์อยากมาคิดอะไรเงียบๆน่ะค่ะ  อยากมานั่งคิดตัดสินใจว่าเบญจ์ควรจะถอยดีไหม” เบญจ์ตอบอย่างตรงไปตรงมา

“แล้วเบญจ์ยังชอบณีนอยู่รึเปล่า หรือว่าแค่อ่านข่าวก็คิดจะถอยแล้ว โดยยังไม่ได้ถามอะไรณีนด้วยซ้ำ  ณีนเป็นคนตรงและเปิดเผยนะคะ ถ้าเบญจ์บอกว่าจะถอยณีนก็จะได้รับรู้แล้วจะไม่รบกวนเบญจ์อีก”

“ยังไม่ได้ตัดสินใจค่ะ ขอโทษนะคะที่ไม่ถามณีนออกไปตรงๆ  ตอนนี้เบญจ์พร้อมที่จะถามแล้วว่า คนที่หอมแก้มณีนที่งานคืนสู่เหย้าคือใคร เขาเป็นคนพิเศษของณีนใช่หรือเปล่า  เมื่อได้คำตอบ เบญจ์จะตัดสินใจบอกว่าเบญจ์คิดจะถอยหรือไม่ค่ะ”

“ตะวันเป็นเพื่อนที่โรงเรียน เรียนกันมาตั้งแต่ประถม พอจบม.3 ตะวันเขาไปเรียนที่อังกฤษก่อนณีนค่ะ พอณีนไปเรียนที่นู่นตะวันก็ให้ความช่วยเหลือณีนตลอดเวลามีปัญหา ช่วงที่ณีนเข้ามหาวิทยาลัย ตะวันก็เป็นคนช่วยหาแฟลตให้  ตะวันทำงานที่ Law Firm ที่อังกฤษเราสองคนจึงไม่ค่อยได้เจอกัน พอเจอที่งานตะวันเลยแกล้งแอบหอมแก้มให้ณีนตกใจค่ะ เพราะรู้ว่าณีนเขินไม่ชอบให้ใครทำอย่างงั้นกับณีนในที่สาธารณะ แล้วนักข่าวในงานคงถ่ายรูปไว้พอดี”

“สรุปว่าคุณตะวันคนนั้นไม่ใช่คนพิเศษของณีนใช่ไหมคะ”

“ตะวันเป็นเพื่อนที่พิเศษค่ะ แต่ไม่ใช่คนพิเศษ ณีนยังไม่เคยมีคนพิเศษมาก่อน พอคิดว่าจะมี คนๆนั้นก็หนีมาทำให้ต้องมาตามหาเนี้ยะแหละค่ะ”

“พูดจริงๆนะคะที่ตกลงให้เบญจ์เป็นคนพิเศษของณีนแล้ว”

“ยังค่ะ เราต้องคุยกันก่อน”

“คุยอะไรคะ”  เบญจ์หน้าเสีย

“อย่าหายตัวแล้วปิดโทรศัพท์หนีอย่างนี้อีกนะคะ  มีอะไรให้พูดให้ถามณีนก่อนอย่าคิดเองเออเองอีกนะคะ”

“รับปากค่ะ  แต่ณีนไม่เคยแสดงออกอะไรให้เบญจ์รู้นี่คะ ว่ารู้สึกดีๆกับเบญจ์มากกว่าเพื่อน”

“อะไรกันคะ รู้ไหมณีนไม่เคยไปดูแลใครเวลาป่วยที่คอนโด ไม่เคยทำอาหารให้กิน ไม่เคยให้ใครไปเดินเล่นด้วยก่อนกลับบ้าน  ไม่เคยส่งข้อความไป good night ทุกคืนกับใครนะคะ ณีนอาจจะไม่ใช่คนแสดงออกเก่ง แต่นี่คือการแสดงความใส่ใจห่วงใยแบบณีนค่ะ เพื่อนรักอย่างปูรณ์อาจจะได้รับความห่วงใยแต่ไม่มี text ทุกคืนแน่ๆค่ะ คราวนี้เบญจ์จะรับรู้ถึงความพิเศษได้หรือยังคะ”

“ขอโทษนะคะ ที่เบญจ์ไม่เคยรู้เลย  แต่การกระทำของณีนปฏิบัติก็เหมือนเพื่อนสนิทนี่นา แถมณีนไม่เคยที่จะพูคคำว่าคิดถึงหรือรักเลยนี่นา” 

“เบญจ์คะ ณีนไม่ใช่คนที่ชอบแสดงความรักนะคะ เอาเป็นว่าณีนจะพยายามแสดงให้เบญจ์รับรู้มากขึ้นนะคะ แต่เบญจ์ก็ต้องเข้าใจณีนด้วยนะคะ”

“งั้นตอนนี้ณีนยอมเป็นแฟนเบญจ์แล้วใช่ไหมคะ” เบญจ์เอ่ยถามไปอย่างค่อยๆ

ณีนนาราพยักหน้า “เป็นแฟนณีนไม่ง่ายนะคะบอกไว้ก่อน แล้วนี่ปูรณ์ฝากจดหมายมาให้เบญจ์ค่ะ”

เบญจ์รับจดหมายที่ปิดผนึกอย่างดีพร้อมแกะอ่านทันที อ่านไปแล้วก็ยิ้มไป

“ยัยปูรณ์เขียนมาว่ายังไงบ้างคะ ณีนถามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมบอก”

“อ่านเอาเองสิคะ”

“ถึงเบญจ์ ว่าที่แฟนของเพื่อนรัก

ทีหลังอย่างอนอะไรไอ้ณีนโดยไม่บอกไม่กล่าวมันอีกนะ  เพราะมันเป็นคนความรู้สึกช้า ถ้าไม่ได้เราช่วยแถลงไขว่าเบญจ์เป็นอะไร กว่ามันจะรู้ตัวคงอีกนานแน่ๆ เพื่อนเราคนนี้รักใครรักจริงแต่มันขี้อายแถมแสดงความรู้สึกไม่เก่ง มีอะไรปรึกษาเราได้

ขงเบ้งปูรณ์”

“ยัยปูรณ์กลับไปล่ะได้เห็นดีกัน เอาเพื่อนรักมาขายอย่างนี้ได้ยังไง” ณีนนาราอ่านจบแล้วก็เขินหน้าแดง

“ไปเดินเล่นกันดีกว่า ตอนนี้อารมณ์ดี อยากจูงมือแฟนเดินเล่นริมหาด”  เบญจ์พูดแล้วจูงมือณีนนาราเดินออกไป

B de Beauvoir 28-06-2012 @Thailand

อ่านแก้ขัดไปก่อนนะคะ ส่วนเราจะไปนั่งกดดันคนทำอาหารก่อนค่ะ

Wednesday 27 June 2012

Miscellaneous 26


วันนี้ไม่มีนิยายมาฝากค่ะ แต่อยากเขียนบล๊อก เขียนแบบเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆค่ะ เพราะรู้สึกว่าตั้งแต่เอานิยายที่เขียนมาลงไม่ค่อยได้บ่นอะไรเลย ไม่มีที่ระบายความบ้านั่นเอง :p

1.เราเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรที่อยู่ในกระแสค่ะ อันนี้เป็นการบอกเล่าสำหรับผู้ที่เพิ่งหลงเข้าบล๊อกมาอ่านนะคะ  ฉะนั้นเพลงที่เขาฮิตๆกันอย่างเพลง ลูกอม เรานั้นไม่เคยเปิดฟังเองนอกจากเวลาที่คนในออฟฟิศเปิดฟังตอนพักค่ะ  แต่ตอนนี้เราชอบเพลงนี้แล้วแต่ต้องเป็นเวอร์ชั่นนี้เท่านั้นนะคะ

ลูกอม โดย  โรส  ผู้หญิงอะไรเสียงเท่ที่สุด เล่นกีต้าร์ก็เก่ง



2.เมื่อสักครู่เพิ่งจะมีโอกาสได้อ่านข่าว ถึงเพิ่งรู้ว่า Nora Ephron เจ้าแม่หนัง rom-com ผู้หญิง ถ้าพูดแต่ชื่อหลายๆคนคงอาจจะไม่รู้จักแต่เธอ เธอคือนักเขียนและผู้กำกับหนังอย่าง When Harry Met Sally, Sleepless in Seattle, You’ve Got Mail และ Julie & Julia น่าเสียดายนะคะถึงเธอจะทำหนัง mainstream เป็นส่วนมากแต่เธอจัดว่าเป็นหญิงเก่งและแกร่ง หนังเธอรุ่นเก่าๆเรามีเก็บซะเยอะด้วยนะคะ โดยเฉพาะ Sleepless in Seattle ตอนสมัยเด็กนั้นชอบมาก



3.เราต้องเตรียมตัวฝึกภาษาเพื่อเข้าประชาคมอาเซี่ยน เราจะได้ไม่เสียเปรียบประเทศที่ เก่งภาษาอังกฤษกว่าเรา แต่ถ้าเจ้ากระทรวงการต่างประเทศ ใช้ภาษาได้แค่นี้ คนที่ต้องไปเรียนภาษาอังกฤษมากที่สุดคือเขา   จริงอยู่ว่าแค่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ก็น่าจะพอแต่ถ้าคนทำงานกระทรวงต่างประเทศภาษาอังกฤษต้องดีมาก ถ้าสื่อสารกันผิดนิดเดียวก็อาจจะมีปัญหาได้  เพราะภาษาทางการฑูตนั้นซับซ้อนมาก ภาษาอังกฤษของเจ้ากระทรวงนั้นแย่มากๆ
อยากได้เจ้ากระทรวงพูดภาษาอังกฤษให้ได้ขนาดนี้


4.เมื่อคืนเห็นว่าจะมีคอนเสิร์ตคุณใหม่ อยากไปดู แต่ก็แค่อยากเหมือนเดิมค่ะ แถมเพิ่งรู้ว่าเพลงยังไงไม่รู้ซิ คุณแอมเป็นคนแต่งเนื้อร้อง เพลงน่ารักมากๆ สงสัยช่วงนั้นคุณแอมจะอินเลิฟ 555+

แต่เพลงที่เราที่ชอบที่สุดของใหม่คือเพลงนี้ค่ะ


5.คืนนี้ว่าจะดูหนัง Tinker Tailor Soldier Spy ไม่รู้ได้ดูกันหรือยัง ดูเพราะชอบคนแสดงมากเลยค่ะ มีทั้ง Gary Oldman, Colin Firth แล้วก็ Benedict Cumberbatch


ลากันไปง่ายๆค่ะ

Tuesday 26 June 2012

หัดเขียน 10


ทำงานแค่เกือบเสร็จแต่เบื่อที่จะเคลียร์ต่อค่ะเลยแว๊ปเอา บทที่ ๙ ที่เขียนอยู่ในสต๊อกมาลงให้อ่านกันหวานๆนะคะ ช่วงนี้คนอ่านน้ำตาลอาจจะขึ้น แต่คนเขียนน้ำตาลลดเพราะกำลังอยู่ในช่วงเขียนดราม่าค่ะ ;) เขียนผิดตรงไหนก็ขออภัยนะคะ ช่วงเขียนก็ก่อนจะนอนสมองอาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่

บทที่  ๙

วันรุ่งขึ้นณีนนาราเข้ามาที่สำนักงานตั้งแต่เช้า แต่จนบ่ายสองแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของเบญจ์จะมาทักทายตามปกติ เธอจึงเดินไปที่ห้องค้นคว้าก็ไม่พบเบญจ์ ณีนนาราตัดสินใจที่จะส่งข้อความไปถามไถ่ว่าจะมากินข้าวด้วยกันไหม แล้วเบญจ์ก็ส่งข้อความกลับมาว่าอีกสักประมาณครึ่งชั่วโมงจะมาถึง

“สวัสดีค่ะ ขอโทษที่ทำให้ณีนรอนะคะ”  เบญจ์เปิดประตูเข้ามาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ หน้าเบญจ์แดงมากเลย”  ณีนนาราถามด้วยความเป็นห่วง

“มีไข้นิดหน่อยค่ะ”

“ไหนขอณีนวัดไข้หน่อยนะคะตัวร้อนมากเลยนะคะ เมื่อวานยังดีๆอยู่เลยนี่นาไปหาหมอดีกว่านะคะ” ณีนนาราเอื้อมเอาหลังมือไปวัดอุณหภูมิที่หน้าผาก

“ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ”  เบญจ์ตอบเสียงอู้อี้กลับมา

“ไม่ได้ค่ะไปหาหมอเถอะเดี๋ยวเป็นหนัก” ณีนนารารีบเก็บของพาคนป่วยไปหาหมอที่โรงพยาบาล

ที่โรงพยาบาลณีนนาราจัดการให้ไปหาหมอประจำตัวของเธอ

“ไม่ทราบเริ่มมีอาการเหมือนป่วยตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ขอหมอดูคอหน่อยนะครับ”  คุณหมอถาม

“เริ่มมีอาการเจ็บคอนิดๆตั้งแต่เย็นวันเสาร์ค่ะ แล้วก็ไปทะเลมาค่ะ” เบญจ์ตอบอ้าปากให้คุณหมอตรวจ

“ไม่เป็นอะไรมากครับ แค่คออักเสบแล้วก็มีไข้สูง เดี๋ยวหมอสั่งยาให้ งดอาหารมันนะครับ รอรับยาได้เลยครับ แต่ถ้าไข้ไม่ลดอีกสัก 2 วันมาหาหมอใหม่ เพราะช่วงนี้ไข้เลือดออกระบาด”

ช่วงระหว่างรอรับยาณีนนาราก็หันมาบ่นเบญจ์เบาๆ  “ป่วยแล้วทำไมไม่บอกล่ะคะ ยอมไปเล่นบานาน่าโบ๊ท แถมไม่ยอมบอกว่าเจ็บคอ”

“ขอโทษค่ะ” เบญจ์ทำหน้าสำนึกผิด

“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ทีหลังอย่าฝืนนะคะป่วยหนักจะลำบาก  กลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวณีนไปทำข้าวต้มไว้ให้กินตอนเย็น เผื่อพรุ่งนี้เช้าด้วย  ที่ห้องมีของสดบ้างหรือเปล่าคะ”

“ไม่มีอะไรเลยค่ะ เดี๋ยวไปแวะซูเปอร์ซื้อของไปเก็บไว้กินก็ได้ค่ะ ณีนจะได้ไม่ต้องลำบาก”

ณีนนาราหันมาทำหน้าดุใส่เบญจ์ เบญจ์จึงเงียบแล้วเดินตามไปซูเปอร์สโตร์ใกล้ๆโรงพยาบาล เมื่อซื้อของที่ต้องการทั้งสองก็เรียกแท๊กซี่เพื่อกลับคอนโดของเบญจ์  เมื่อถึงที่พักณีนนาราไล่ให้เบญจ์ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อมากินข้าวแล้วก็กินยา เนื่องจากเบญจ์ตอบเธอมาว่าวันนี้ตื่นมาได้ดื่มนมอุ่นๆไปแก้วเดียว

“นั่งกินข้าวต้มเลยค่ะ เดี๋ยวจะได้กินยาแล้วก็พักผ่อน” ณีนนารายกชามข้าวต้มหมูมาให้คนป่วย

“ลำบากณีนแย่เลย ณีนก็ยังไม่ได้กินกลางวันเหมือนกันนี่คะ  เอาจานมาแบ่งกันสิคะตั้งเยอะเบญจ์กินไม่หมดหรอก” เบญจ์พูดพร้อมไปหยิบชามเล็กมาตักแบ่งให้ณีนนารา

“ค่ะ รีบๆกินแล้วก็รีบกินยานะคะ งดดื่มนมด้วยนะคะ ให้จิบน้ำอุ่นหรือน้ำขิงแทนนะคะ เพราะนมจะทำให้มีเสมหะ อ้องดสระผมด้วยนะคะ สักพรุ่งนี้ค่อยสระ พอสระเสร็จแล้วไดร์ให้แห้งเลยนะคะ ผมของเบญจ์ถึงจะยาวไม่มากแต่อย่าเสี่ยงเลยดีกว่า”

“รับทราบและปฏิบัติค่ะ”  เบญจ์รับคำยิ้มๆ พร้อมนึกในใจว่าป่วยก็ดีเหมือนกันอย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าณีนนาราก็มีความห่วงใยต่อเธอ พอกินอาหารและยาเสร็จ ณีนนาราก็ไล่เธอไปนอนพร้อมบอกว่าจะ เตรียมอาหารไว้ให้สำหรับพรุ่งนี้เช้า  

เมื่อเตรียมอาหารอาหารไว้ให้เบญจ์แล้วณีนนาราจึงไปนั่งทำงานที่ติดมาด้วยพร้อมคิดว่าสักประมาณหนึ่งทุ่มค่อยเดินไปขึ้นรถไฟฟ้ากลับ เมื่อถึงเวลาที่จะกลับเธอก็เดินไปเคาะห้องนอนแต่เบญจ์ไม่เปิดประตู เธอจึงถือวิสาสะเข้าไปในห้องนอนคิดว่าจะไปเรียกให้เบญจ์ตื่นมาล๊อกประตูตอนที่เธอจะกลับคอนโด ณีนนารากลับพบว่าไข้ของเบญจ์นั้นไม่ลดลงเท่าไหร่เลย ณีนนาราตัดสินใจเอาผ้ามาชุบน้ำเย็นเช็ดหน้า, คอ, แขนและขาให้เบญจ์ พร้อมปลุกให้คนป่วยตื่นมากินยาลดไข้ พร้อมตัดสินใจว่าจะอยู่ดูแลเบญจ์อีกสักพัก เธอจึงโทรบอกให้ปูรณ์มารับเธอกลับคอนโดตอนสี่ทุ่มด้วย

“อีกสิบนาทีจะออกไปรับนะณีน ว่าแต่ทำไมแกไม่อยู่ช่วยดูเบญจ์เขาทั้งคืนเลยล่ะ”

“คงไม่เหมาะมั้ง ที่สำคัญฉันไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนด้วย”

“เบญจ์เขาไม่ว่าหรอก หรือแกกลัวจะไปปล้ำคนป่วย”  ปูรณ์พูดขำ

“ไอ้ปากมอมจะมารับฉันไหมเนี้ย ถ้าไม่ฉันจะกลับแท๊กซี่เอง”

“งอนไปได้ ไปรับสิเพื่อนทั้งคน อีก 15 นาทีลงมารอได้เลย”

ณีนนาราตัดสินใจว่าจะไม่ไปปลุกเบญจ์ให้มาปิดประตูให้แต่เธอเอากุญแจห้องมาเลยโดยทิ้งข้อความบอกไว้ว่า “มีซุปมิโซะเต้าหู้อยู่ในหม้อนะคะ อุ่นแล้วทานได้เลย ไม่อยากเรียกเบญจ์ขึ้นมาปิดประตูให้ขอเอากุญแจไปด้วยแล้วพรุ่งนี้จะเอามาคืนค่ะ หวังว่าคนป่วยคงจะไม่แอบหนีไปเที่ยวไหนนะคะ  อย่าลืมกินยาด้วย  ณีน”

ปูรณ์มารับณีนนาราไปส่งที่คอนโด โดยที่เจ้าตัวไม่ยอมกลับไปที่ห้อง ทั้งบอกว่าไปเที่ยวครั้งที่ผ่านมาไม่ค่อยได้คุยกันเลย จึงขอนอนที่ห้องณีนนารา

“แกคิดยังไงกับเบญจ์ พูดมาตรงๆ ฉันรู้ว่าแกน่ะดีและเต็มที่กับเพื่อนทุกคน แต่สำหรับเบญจ์  ฉันเห็นแววตาแกตอนคุยกับเขาเหมือนตอนแกมองพี่วีสมัยที่โรงเรียนเลย”  ปูรณ์ถามเพื่อนรักโดยหวังว่าจะเปิดใจเพื่อนรักได้ เพราะคราวนี้นั้นไม่เหมือนตอนณีนนาราแอบชอบวรชญา ครั้งนั้นเป็นเหมือนการแอบชอบข้างเดียวมากกว่า และณีนนาราก็ไม่กล้าพอที่จะไปเปิดใจกับวรชญาด้วย 

“ฉันก็รู้สึกดีกับเบญจ์ รู้สึกดีที่เขาใส่ใจฉัน เหมือนเพื่อนรักคนหนึ่ง เหมือนแกคอยดูแลฉันไง”

“แต่เวลาเพื่อนดูแลกัน ฉันดูแลแก แกไม่มีอารมณ์เขินใช่ไหม แต่แกมีอาการนี้กับเบญจ์ ฉะนั้นฉันคิดว่าไม่เหมือนกัน  ณีนฉันขอร้องล่ะแกอย่ากลัวที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างแกกับเบญจ์เขาได้ไหม  ลองให้โอกาสมากกว่านี้ หรือตกลงคบเป็นแฟนไปเลยก็ได้ แกไม่ต้องกลัวว่าถ้าความรักครั้งนี้ไปไม่รอดแล้วแกจะเสียใจ เพราะฉันพร้อมจะนั่งข้างๆแกเหมือนที่เป็นตลอดมา พูดง่ายก็เหมือนตอนแกนั่งข้างๆเวลาฉันเลิกกับแฟนน่ะ”

“เฮ้อ ฉันก็ถือว่าชอบเบญจ์เขามากพอนะ แต่เขาเพิ่งจะจีบฉันใจคอแกจะให้ฉันไปตกปากรับคำเป็นแฟนเลยหรือไง”

“ตามใจแต่อย่าลืมนะ เวลามันไม่รอท่านะคะคุณณีน  แล้วถ้าเบญจ์รู้ซึ้งถึงนิสัยเอาแต่ใจของแก เขาจะเลิกจีบไปเลยก็ได้”  ปูรณ์พูดแล้วหัวเราะยักคิ้วใส่ณีนนารา ปูรณ์คิดว่าเพื่อนเธอต้องมีตัวกระตุ้น หวังว่าคำพูดของเธอจะทำให้เพื่อนเธอได้คิดบ้าง

เบญจ์ลุกขึ้นมาตั้งแต่ 7.30 น. เดินออกมาจากห้องนอนพบข้อความที่ณีนนาราทิ้งไว้ให้ มันทำให้เธอยิ้มพร้อมรู้สึกอุ่นใจว่าณีนนาราน่าจะมีใจให้เธอมากกว่าเพื่อนธรรมดา ความหวังในการที่จะเปลี่ยนจากคำว่าเพื่อนเป็นแฟนเพิ่มขึ้นอีกมากโข 

ณีนนาราเปิดประตูห้องเข้ามาตอน 9.30 น โดยไม่พบเบญจ์ที่ห้องรับแขกจึงจะไปเคาะประตูห้องนอน เบญจ์เปิดประตูออกมาพอดี

“โอ๊ย”  เสียงณีนนาราร้อง ประตูเปิดมากระแทกหน้าผาก

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า เบญจ์ขอโทษนะคะ” เบญจ์รีบพาณีนนาราไปนั่งที่โซฟาพร้อมเดินไปหยิบเจลเย็นมาประคบให้ กลัวหน้าผากของณีนนาราจะช้ำและบวม

“ไม่เป็นไรมากค่ะ” ณีนนารารีบขอเจลเย็นมาประคบเองเพราะเขิน เนื่องจากหน้าของเบญจ์อยู่ใกล้เธอมาก และเอ่ยคำถามแก้เขิน “กินซุปที่ณีนทำไว้ให้หรือยังคะ”

“มาอุ่นกินแล้วค่ะ อร่อยมากๆเลย อย่างนี้สงสัยต้องขอให้ณีนทำให้กินบ่อยๆ แล้วเบญจ์จะทำอาหารทางสแกนให้ลองเป็นการตอบแทนนะคะ”

“คือจริงๆแล้วแค่ซื้อวัตถุดิบที่ดีมาทำอาหาร ยังไงก็อร่อยค่ะ”  ณีนนารารีบออกตัวแก้เขิน

“ว่าแต่วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอคะ เบญจ์หายแล้วเดี๋ยวให้ไปสำนักงานเป็นเพื่อนนะคะ”

“ไม่ไปค่ะโทรไปบอกคุณวีเรียบร้อย พร้อมหอบงานมาอ่านที่นี่ค่ะ คิดไว้แล้วว่าคนป่วยจะต้องดื้อไม่ยอมพักผ่อน เลยจะมาเฝ้าไข้ค่ะ”

เบญจ์ไม่พูดอะไรต่อไปแค่นั่งอมยิ้มมีความสุขพร้อมมองดูณีนนาราทำงาน เมื่อถึงเวลาเย็นเบญจ์ขันอาสาจะทำอาหารให้กิน เพราะเธอไม่อยากนั่งเฉยเหมือนคนป่วยหนัก ณีนนาราจึงตอบตกลง

“ไม่รู้จะถูกปากรึเปล่านะคะ เพราะทุกทีทำกินเองคนเดียว”

“อร่อยดีค่ะ” ณีนนาราตักข้าวต้มชิมพร้อมเอ่ยชม

“เมื่อวานณีนกลับยังไงคะ ขอโทษด้วยนอนไม่รู้เรื่องเลย”

“เรียกปูรณ์มารับค่ะ คนนั้นสารถีประจำตัวอยู่แล้วเบญจ์ไม่ต้องห่วงนะคะ”

“อิจฉาปูรณ์จัง มีตำแหน่งซะด้วย สงสัยเบญจ์ต้องไปยืมรถที่บ้านมาไว้รับส่งณีนบ้าง  อยากเป็นสารถีประจำตัวของณีนแทนปูรณ์”

“ไม่ต้องหรอกค่ะลำบากเปล่าๆ ณีนก็มีรถเพียงแต่ไม่ค่อยขับเท่านั้นเอง แต่ถ้ารู้ตัวว่าวันไหนมีธุระกลับบ้านดึกแล้วไม่ได้ไปกับปูรณ์ ณีนก็จะขับรถค่ะ  วันนี้ณีนก็ขับมาค่ะ”

“โห ตัดโอกาสสุดๆเลยนะคะ”

“แต่ณีนไม่ได้บอกว่า ไม่ให้เบญจ์เป็นสารถีนี่คะ” ณีนนาราพูดพร้อมยักคิ้ว

“งั้นเป็นอันตกลงแล้ว เริ่มหน้าที่วันอาทิตย์นี้เลยนะคะ อยากไปพุทธมณฑลให้อาหารปลาแล้วก็ไปเดินเล่น....กับณีน” เบญจ์พูดออกมาด้วยความลิงโลด


ทั้งสองสาวกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ โดยการไปเจอที่สำนักงาน ทำงานด้วยกัน กินข้าวกลางวันด้วยกัน ก่อนกลับบ้านก็ไปเดินคุยกันที่สวนสาธารณะเล็กๆใกล้สำนักงาน หรือไปกินข้าวเย็นกับปูรณ์อาทิตย์ละหนึ่งครั้ง  สำหรับณีนนาราการมีกิจกรรมอย่างนี้กับใคร เธอถือว่าคนคนนั้นเป็นคนพิเศษมากสำหรับเธอแล้ว เพียงแต่ว่าการเป็นคนปากแข็งของณีนนาราจะทำให้ความสัมพันธ์ที่เพิ่งเริ่มต้นมีปัญหาหรือไม่

B de Beauvoir 26-06-2012 @Thailand

เป็นไงคะพอหวานเรียกน้ำตาลมาเพิ่มพลังได้กันบ้างไหมคะ ว่าแต่ยังคิดชื่อเรื่องไม่ออกเลยค่ะ