Wednesday 12 December 2012

Series เก่าที่ดูอยู่ค่ะ


มาอัพบล๊อกกันอีกครั้งค่ะหลังจากนี้ก็คงหยุดยาวไปประมาณหลังคริสต์มาส ก่อนปีใหม่ค่ะ เพราะปีใหม่คงไม่ไปไหนนะคะ วนๆเวียนนอนเล่น อ่านหนังสือ เล่นเนตที่บ้านค่ะ ไม่ก็อาจจะเจอเพื่อนที่กรุงเทพบ้างค่ะ เมื่อคืนก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเขียนเรื่องอะไรนะ เพลงละครเหรอก็ยังขี้เกียจเบื่อๆ เลยมาเขียนเรื่องสั้นๆถึงซีรี่ย์ ที่ดูอยู่ค่ะ แต่ไม่ใช่เป็นปีที่ใหม่อะไรมากนะคะเพราะเราดูจากช่อง Fox เอามาฉายเลยมีโอกาสได้ดูปีเก่าๆหลายเรื่องแถมดูแล้วสนุกด้วย ติดมากมาย

ก่อนที่จะเขียนเรื่องซีรี่ย์ที่ดูเพื่อไม่ให้บล๊อกนี้สั้นเกินไปเลยอยากบอกว่าเวบ Afterellen เปิดทำการโหวต 2012 Visibility Awards แล้วนะคะเผื่อมีคนสนใจเดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยได้เข้าไปอ่านเวบนี้เท่าไร เลยค่อนข้างตกข่าวทางด้านอะไรดัง up to date หนัง ซีรี่ย์ ดารา นักร้อง หนังสือ แถมตอนนี้ไม่ได้บ้าอะไรเป็นพิเศษด้วย เมื่อก่อนบ้า Gro กับ Katja เนี้ย ก่อนที่เขาจะมี fanforum นะเข้าไปตลอด คุยกับคนเยอะดี รู้สึกภาษาอังกฤษแข็งแรง ตอนนี้ไม่ได้อ่าน ไม่ได้เขียนตอบโต้กับใครเป็นภาษาอังกฤษเท่าไร ก็เหมือนเขียนภาษาไทยนั่นแหละ เด็กสมัยนี้เขียนผิดไปทำข้อสิบก็ผิด เพราะใช้ผิดมาตลอด เช่นคำว่า เดี๋ยว เป็น เด๋ว เป็นเด็กที่บ้านโดนสั่งคัดลายมือแน่ๆเลยค่ะ
ก่อนจะออกทะเลไปมากกว่านี้ ใครสนใจไปโหวตที่ Afterellen ไปโหวตเลยนะคะ มีหลายหัวข้ออย่างหัวข้อหนังเราโหวตให้ Kyss Mig ไปค่ะ นักดนตรีก็ Heather Peace

มาเข้าเรื่องซีรี่ย์กันดีกว่า

1.Criminal Minds
ตอนนี้เรื่องนี้ยังไม่ได้ลาจอไปนะคะ ที่อเมริกาตอนนี้ฉายปี8 อยู่ค่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับหน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ร้ายค่ะ ดูไปมันจะเครียดกว่าพวกหนังไขคดีฆาตรกรรมอย่าง CSI นะคะ แถมดูแล้วลุ้นว่าจะหยุดผู้ร้ายได้เมื่อไหร่ มีคนบอกว่าดูมากๆอาจถึงขั้นสังเกตพฤติกรรมเพื่อน คนรู้จัก คนรอบข้าง คนบนรถสาธารณะ ว่ามีพฤติกรรมน่าสงสัยหรือไม่ ดูๆไปออกแนวโรคจิต ฮาฮาฮา แต่เรายังไม่ถึงขนาดนั้นนะคะ เราดูแล้วก็จบๆไป ไม่ได้ชอบกรี๊ดกร๊าดตัวละครไหนเป็นพิเศษค่ะ

2.Medium
ส่วนเรื่องนี้ได้ลาจอเป็นการถาวรไปเรียบร้อยแล้วนะคะ โดยส่วนตัวไม่เคยดูมาก่อนเลยเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนที่สื่อกับวิญญาณได้ เลยมาช่วยไขคดี แถมมีลูกสาวสามคนแต่ละคนสื่อกับวิญญาณได้หมดเลยค่ะ เรื่องนี้คือแบบดูไปก็ลุ้นไปนิดๆว่าที่ฝัน เห็น ได้ยิน จะช่วยคลี่คลายคดีได้ไหมก็สนุกดีนะคะ ดีกว่าไม่มีอะไรดู ฮาฮาฮา

3.NCIS
โดยปกติก็เคยดู NCIS มาบ้างอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ติดตามตลอด แต่คราวนี้ดูตลอด แถมมี Back to back ให้ดู 2 ตอนรวดด้วยสนุกดี ดูจนเออ Ziva สวยดีแถมตอนนี้ช่อง Fox โฆษณา seasonใหม่ สรุปว่าเพลงเพราะดีด้วย ดูไปแถมบางตอนมีเพลงประกอบแล้วชอบก็ไปหาว่าเพลงอะไรนะ หาฟังเอาตาม youtube

จบไปง่ายแค่นี้นะคะ จขบ ไม่รู้จะเขียนอะไรแล้วค่ะ จบแบบห้วนๆตามนิสัยปกติ

Saturday 8 December 2012

Miscellaneous 34


สวัสดีค่ะห่างหายจากการอัพบล๊อกไปนานพอสมควร คงถึงคราวต้องอัพแล้วไม่งั้นคงถึงคราวเลิกเขียนได้ง่ายๆเพราะขี้เกียจ โรคขี้เกียจมันจะมาเป็นช่วงๆค่ะ ช่วงนี้จะมาพร้อมอาการหวัดที่ไม่ได้เป็นหนักหนาแต่หายไม่ขาดสักที บางทีอาการเจ็บคอจะกลับมาและมีน้ำมูกนิดหน่อย แถมมีเสมหะเล็กน้อยด้วยค่ะ กอปรกับช่วงอาทิตย์ที่จะถึงนี้จะยุ่ง มีงานที่จะต้องเตรียมแต่ต้นเดือน เหนื่อยเมื่อยค่ะ สรุปข้ออ้างยาวเป็นหางว่าว ต้องขอบคุณที่อ่านคำบ่นจนมาถึงบรรทัดนี้นะคะ

ตอนแรกว่าจะเขียนถึงเพลงประกอบละครช่อง7 สมัยที่ จขบ เด็กๆ แต่หลังจากไม่ได้เขียนมานานมีเรื่องบ่นๆให้ฟังเยอะแยะไปหมด เลยขอคุยกันหลายๆเรื่องรวมๆนะคะ

1.เรื่องนี้สดๆร้อนๆเลย ไม่รู้มีใครได้อ่านข่าวว่ามี ดีเจจากสถานีวิทยุใน Sydney, Australia โทรไปที่โรงพยาบาลเอกชนในลอนดอนที่ เจ้าหญิงเคท พักรักษาตัวที่เกิดจากอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรงหรือเปล่า โดยดีเจแกล้งทำเป็นพระราชินีนาถอลิซซาเบธกับเจ้าฟ้าชายชาล ทำให้คุณพยาบาลคนนั้นโอนสายไปให้กับพยาบาลที่บอกอาการเจ้าหญิงเคทได้ สรุปคุณพยาบาลคนนั้นเพิ่งฆ่าตัวตายไปค่ะ เพราะการเล่นพิเรนทร์ๆ ที่บอกว่าเป็น prank เล่นสนุกๆ ไอ้คนอำไปน่ะสนุกแต่คนที่ถูกอำเขาได้บอกความลับของคนไข้ ผิดจรรยาบรรณ ถ้าโรงพยาบาลไม่เข้าใจอาจเอาผิด พยาบาลคนนั้นอาจจะถูกไล่ออกจากงานแล้วผิดจรรยาบรรณอย่างนี้ก็อาจจะหางานทำยาก ในที่สุดลูก2คน ของคุณพยาบาลก็ได้กำพร้าแม่ไปแล้ว เรานะเกลียดการเล่นอะไรแผลงๆพวกนี้จริงๆ เกิดไปเล่นอะไรให้คนอื่นตกใจจนเขาหัวใจวายตายไปใครจะรับผิดชอบ อันนี้เล่นแรงจนคุณพยาบาลฆ่าตัวตาย เด็กกำพร้าแม่ 2 คน มันแย่เกินไปค่ะ

2.ไม่รู้ว่าคุณๆชอบดูรายการแข่งทำอาหารกันไหมตอนนี้เราติดรายการหนึ่งมากเลยค่ะ เพื่อนแนะนำให้ดู เราชอบรายการนี้เพราะผู้เข้าแข่งขันจะสบายๆไม่ competitive ยังได้ความรู้ทางประวัติศาสตร์อีกด้วย ไม่มีกรรมการที่คอยตะคอกหรือจะสร้างดราม่าให้กับผู้เข้าแข่งขันเหมือนอย่างตา Gordon Ramsay ใน Hell’s Kitchen หรือ MasterChef ไม่มีคำหยาบคายอารมณ์ฉุนเฉียวทำลายข้าวของ นี่แหละข้อดีของรายการจากช่อง BBC เกริ่นมานานจะบอกว่าชื่อรายการคือ The Great British Bake Off ค่ะ ปีนี้ season 3 จบไปเมื่อเดือนตุลาคม เราเอามาแปะเรียกน้ำย่อยเผื่อจะมีคนสนใจดูนะคะ แต่ถ้าสนใจต้องรีบดูหน่อยนะคะ โดนลบเร็วพอควรค่ะ  ให้ทายด้วย จขบ ชอบผู้เข้าแข่งขันคนไหน ทายถูกมีรางวัลให้ค่ะ 555




3.ไม่รู้ยังมีใครติดตาม The Voice อยู่ไหมเราก็ยังติดตามดูนะคะ แต่รู้สึกว่าความสนุกเริ่มลดน้อยลง ถึงแม้เสียงหลายๆคนจะดีแต่อีกหลายคนดีกว่าเพียงแต่ไม่มีหน้าตาความน่ารักเป็นทรัพย์ ที่สำคัญคือไม่ใช่ผู้ชาย อย่างเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเราเสียดายคุณปุ้ย ทีมสแตมป์มากๆ เธอร้องเพลงความในใจ ได้เจ๋งที่สุดเลยค่ะ แต่เธอก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเสียงโหวตจากคนทางบ้านให้แม๊กไป คือเขายังร้องเสียงสั่นอยู่เลยอะ แต่เอาเถอะเราเคารพการตัดสิน แม้จะเสียดาย น้องกลม, คุณกีต้าร์ และคุณปุ้ย



4.ไม่รู้ว่าใครได้เคยอ่าน สมรัก พรรคเพื่อเก้ง บ้าง เขาจะเขียนถึงอะไรก็แล้วแต่ในแนวแดกดัน เสียดสี พร้อมมีคำถามจากน้องป.3 ถามให้ได้แสบๆคันๆกันอีกด้วย ล่าสุดที่เราชอบคือที่สมรักเขียนถึง ริว จิตสัมผัส ในรายการคนอวดผี ที่เราไม่เคยดูแต่น้องๆที่บ้านเราดู ลองไปหาอ่านกันดูนะคะ ใครชอบแนวจิกกัดน่าจะชอบ

ไม่รู้จะเขียนอะไรแล้วค่ะหมดมุก หุหุ เอาเป็นว่าไว้วันพุธมาเจอกันอีกบลีอกนะถ้าเรามีเวลาเราจะอัพค่ะ เนื่องด้วยหลังจากวันที่ 13 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 23 จขบ จะไม่ว่างยุ่งมากๆยุ่งแบบติดต่อกันไม่เว้นวันหยุดค่ะ เลยต้องมาอัพทำคะแนนความขยันเพิ่มซักนิด

Wednesday 21 November 2012

เพลงประกอบละคร


วันอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่ได้อัพบล๊อกเลยมาอัพบล๊อกวันนี้ดีกว่านะคะ มาแบบมาเร็วเคลมเร็วแต่น่าจะคุยกันได้สนุกวันนี้เราจะเขียนถึงเพลงประกอบละครสืบเนื่องมาจากการแชตกับเพื่อนถึงเพลงประกอบละคร “กี่เพ้า” ว่าเพลงเพราะดี เราก็เลยนึกถึงว่าเพลงประกอบละครเก่าๆมักจะเพราะ แต่คราวนี้เราจะพูดถึงเฉพาะเพลงจากค่าย Exact ค่ายเดียวนะคะ เลือกมาสัก 10 เพลง

1.เติมฝัน 

2.เก็บใจไว้ใกล้เธอ

3.ไม่แน่ใจ

4.รักเธอสุดหัวใจ

5.แทนใจ

6.ไม่เหลือใคร

7.รอหน่อยแล้วกัน

8.มีเพียงแต่เธอ

9.เจ้าพ่อจำเป็น

10.หัวใจให้เธอ

Sunday 11 November 2012

น้ำหอม


วันนี้วันอาทิตย์อีกแล้วค่ะ มีทั้งเรื่องดีและไม่ดี ดีคือวันนี้วันอาทิตย์เราสามารถนอนกลิ้งขี้เกียจได้จนสายโด่ง นอนดูซีรีย์เรื่องที่ชอบได้จนเที่ยง (อาจจะมีเสียงบ่นมาบ้างถ้าอยู่บ้านใหญ่อย่าง จขบ) สามารถอาบน้ำสระผมแบบไม่ต้องรีบเพราะตื่นสาย ฮึฮึ แต่ข้อเสียคือพรุ่งนี้เป็นวันจันทร์อีกแล้ว วันจันทร์เป็นวันที่เกิดอาการตื่นสายไม่อยากลุก ฮาฮาฮา

มาเข้าเรื่องกันดีกว่า มาพูดถึงน้ำหอมที่ชอบกันดีกว่าค่ะ จริงๆแล้วเมื่อวานคิดจะเขียนถึงอีกเรื่องแต่พอดีอาทิตย์นี้จะมีเวลา อัพรูปและพิมพ์เยอะกว่าอาทิตย์หน้าเราเลยเขียนเรื่องน้ำหอมเหมือนเดิม คงเสียเวลาอัพรูปนี่แหละค่ะ

มาเข้าเรื่องน้ำหอมกันดีกว่าตอนเด็กๆถ้าเคยใช้น้ำหอม แบบแอบหยิบของผู้ใหญ่มาดูคุณจะพบที่ขวดน้ำหอมจะพิมพ์ไว้ว่า  Parfum, Eau de Parfum (EdP) กับ Eau de Toilette (EdT) แล้วก็คงสงสัยว่ามันต่างกันยังไง แถมบางทีซื้อน้ำหอม EdP ทำไมขวดเล็กกว่า EdT แต่ราคาแพงกว่า จนมาเข้าใจเมื่อโตอย่างคร่าวๆว่า EdP นั้นกลิ่นจะติดทนนานกว่า จะแรงกว่าน้ำห้อมผู้หญิงส่วนมากจะเป็น EdP
สรุปแบบง่ายก็คือ เขาแบ่งชนิดของน้ำหอมไปตามเปอร์เซ็นต์ของน้ำมันหอม(หัวน้ำหอม)ที่ผสมอยู่
1.Parfum/Perfume นั้นจะมีหัวน้ำหอมผสมอยู่ 15-30% จะสังเกตได้ว่าขวดจะเล็กแพงมากๆใช้แตะตามจุดกระจายกลิ่น

2. Eau de Parfum นั้นจะมีหัวน้ำหอมผสมอยู่ 10-20% จะมีขวดสเปร์ย และส่วนมากเป็นน้ำหอมของผู้หญิง

3. Eau de Toilette นั้นจะมีหัวน้ำหอมผสมอยู่ 3-8% เป้นขวดสเปร์ย กลิ่นจะอ่อน หอมสดชื่นและจางเร็วกว่า EdP ส่วนมากจะเป็นน้ำหอมผู้ชายกับวัยรุ่น

แล้วก็ยังมีพวก After shave กับ Colonge อีกซึ่งเราจะไม่พูดถึงเพราะกลิ่นของสองชนิดนี้จะจางเร็วมากๆ  แถมน้ำหอมที่เราชอบใช้จะเป็นแค่ EdP กับ EdT เท่านั้น เนื่องจากเป็น Parfum เลยจะกลิ่นแรงไป แล้ว Colonge เราก็ไม่มีด้วย Eau de Colonge ถูกจดลิขสิทธิ์โดย บริษัทในเยอรมนีผู้ผลิต 4711 อะค่ะ น่าจะรู้จักกันนะคะ เรามาเริ่มพูดถึงน้ำหอมกันดีกว่าหลังจากพล่ามมานานมากแล้ว

1.            “Le Male” ของ Jean Paul Gaultier
น้ำหอมขวดนี้ถ้าจำไม่ผิดเป็นขวดแรกที่ซื้อเองนะคะตอนม.ปลาย (ก่อนหน้านั้นขโมยผู้ใหญ่ที่บ้านใช้กับโน้มน้าวว่ากลิ่นนี้หอมนะซื้อเถอะ ฮาฮาฮา) ฝากเพื่อนซื้อมาจากฝรั่งเศสช่วงนั้นเพื่อนไป Summer ที่ฝรั่งเศสตลอดไม่แปลกใจเลยที่มันเก่ง อ้อ น้ำหอมขวดนี้เป็น EdT นะคะและเป็นน้ำหอมผู้ชาย แต่ถ้าชายแท้คนไหนใช้กลิ่นนี้ให้ตั้งสมมุติฐานไว้ก่อนเลยว่าเขาไม่ Straight เพราะกลิ่นจะหวานยั่วยวนเกินว่าชายแมนๆจะใช้กันค่ะ รูปข้างล่างคือขวดปกตินะคะไม่ใช่สำหรับนักสะสม  ราคาตาม official website คือ 125 ml  £54

2.            WHITE MUSK® EAU DE PARFUM ของ The Body Shop
น้ำหอมขวดนี้ ได้อุปการะคุณมาจากเพื่อนตอนม.3 เพื่อนที่นั่งข้างๆกันซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด แต่ตอนเพื่อนซื้อให้น่าจะเป็น EdT มากกว่านะคะ เราว่าเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆเราเลยชอบ เราเลยซื้อใช้ต่อมาอีกหลายขวดแต่ตอนนี้ไม่มีค่ะ เพราะน้ำหอมยังไม่หมดอีกหลายขวด ถ้าผ่านไป Body Shop ลองแวะเข้าไปดมกลิ่นกันก็ได้นะคะ แ ตามแบบฉบับของ Body Shop คือมี สบู่, ยาสระผม และครีมกลิ่นนี้ด้วยนะคะ อีกหนึ่งที่ทำให้ชอบคือตอนนู้นถ้าจำไม่ผิดกล่องใส่น้ำหอมมาจะเป็นสีม่วงนะคะ อีกหนึ่งสีโปรดของเรา  ตามเวปคือขวด 30 ml ราคาอยู่ที่ $24


3.            COCO MADEMOISELLE ของ Chanel
น้ำหอมที่เพิ่งชอบไม่นานนี้(ก็หลายปีเหมือนกันนะ หุหุ) ไปได้กลิ่นมาจากเพื่อนสนิทแต่ของเพื่อนเป็นแบบ parfum ซึ่งจะแรงกว่ามากและกลิ่นหญิงสุดๆ แต่พอหลายชั่วโมงผ่านไปกลิ่นจางลงไป จขบ พบว่ากลิ่นนี้หอมดี ไม่ได้ฉุนแบบ No.5 เลยตัดสินใจซื้อแบบ Eau de Parfum มาใช้ซึ่งกลิ่นอ่อนกว่าของเพื่อน ราคาจากเวปของ EdP ขนาด 1.2 oz. คือ from $64
มาพูดถึงคำว่า Mademoiselle กันดีกว่าค่ะเพราะเมื่อต้นปีนี้ (2012) ทางรัฐบาลฝรั่งเศสได้ยกเลิกใช้คำนี้ไปแล้วคำนี้ถ้าเป็นภาษาไทยก็คือคำว่า นางสาวค่ะ โดยให้ใข้คำว่า Madame นำหน้าชื่ออย่างเดียวแล้ว เพราะฝรั่งเศสก็เหมือนไทยที่มีการใช้ Monsieur นำหน้าชื่อผู้ชายอย่างเดียว ไม่ว่าจะแต่งหรือไม่แต่งงาน แต่เมื่อก่อนมีคำว่า Damoiseau (ความหมายคล้าย Mademoiselle แต่ใช่กับผู้ชาย) ที่ยกเลิกการใช้ไปเป็นสิบกว่าปีแล้วค่ะ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย แต่จริงๆแล้วเราว่าเป็น Mademoiselle ก็ดีออก น่าจะให้เป็นแบบไทยนะคือคุณอยากจะใช้นางสาวหรือนางก็เลือกเอง


4.            Romance ของ Ralph Lauren
กลิ่นนี้จะหอมอ่อนอีกแล้ว จะอ่อนกว่าตัว Mademoiselle พอสมควรทีเดียว คือถ้าใครไม่เห็นหน้าเจ้าของน้ำหอมอาจจะคิดว่าเป็นผู้หญิงหวานก็ได้ แต่เมื่อมาพบตัวจริงแล้วก็จะค้นพบว่าหน้าอย่างนี้อะนะใช้ Romance กลิ่นนี้ตอนนั้นอยู่อังกฤษแล้วมีเพื่อนชอบไปฝรั่งเศสเราอยากได้น้ำหอมเลยไปทดลองดมกลิ่นที่ชอบตามเคาเตอร์ในห้างใกล้ที่พักก็ได้กลิ่นนี้มาให้เพื่อนแบกมาให้ ถูกกว่าซื้อในอังกฤษเยอะเลย EdP ขนาด 1.7 oz. อยู่ที่ $62 ค่ะ


5.            Tommy Girl ของ Tommy Hilfiger
กลิ่นนี้จะไม่หวานเหมาะกับผู้หญิงที่แมนหน่อยๆ กลิ่นจะเหมาะกับวัยรุ่นมากกว่าเพราะชื่อก็บอกแล้วเนอะ Tommy Girl ใช้ได้ทุกวันหอมอ่อนๆค่ะ รู้สึกว่าจะมีแต่ EdT แต่จำไม่ได้แน่นอนนะคะ ขี้เกียจไปหาดูด้วยถึงจะยังมีอยู่ก็ตาม ขวดที่มีอยู่ตอนนี้น่าจะเป็นขวดที่ 3 แล้ว  ราคาขวด 50 ml อยู่ที่ £30 ค่ะ


6.            Cool Water for Women ของ Davidoff
แรกเริ่มเดิมทีไปแอบชอบกลิ่น Cool Water ผู้ชาย ของลูกพี่ลูกน้องซึ่งกลิ่นแมนมากๆค่ะ แต่ตอนนั้นไปเจอที่ Duty Free ที่สิงคโปรลดราคาขายเป็นแพ๊คคู่ ชายและหญิง เราจึงซื้อมาพอดมไปดมมากลิ่ผู้หญิงก็หอมดีนะไม่ได้แรงเกินไปแถมไม่แมนเกินไปด้วย ก็ให้ขวดของผู้ชายกับน้องชายไปเก็บขวดผู้หญิงไว้ใช้เอง ในเวปทางการไม่มีราคาบอกไว้นะคะแต่เป็น EdT ค่ะ


7.            Miracle Homme ของ Lancome
น้ำหอมกลิ่นนี้จะค่อนข้างแมนทีเดียวแต่ไม่มากเท่าไหร่ เมื่อก่อน จขบ จะใช้กลิ่นนี้ทุกวันทำงานเพราะกลิ่นไม่แรงไม่รบกวนคนอื่น แถมกลิ่นไม่ตีกลับคนอื่นด้วยค่ะ อ้อกลิ่นนี้มีกลิ่นของผู้หญิงด้วย แต่ จขบ ไม่ชอบค่ะกลิ่นหวานเกินไป มีเวปทางการของไทยด้วย เป็น EdT ขวด 50ml ราคา 1,900 บาทค่ะ


8.            Light Blue ของ Dolce & Gabbana
เป็นน้ำหอมที่ไปได้ในร้านของแท้ที่ขายของลดราคามีพี่ที่รู้จักซื้อมาใช้ ตอนแรก จขบ คิดว่ากลิ่นมันค่อนข้างเวียนหัวใช้ได้ แต่พอทิ้งไว้สักพักกลิ่นจะอ่อนลงแล้วจะเป็นเอกลักษณ์มากๆ เคยไปเจอคนหนึ่งใส่กลิ่นนี้ที่รถไฟฟ้า BTS ได้กลิ่นแล้วรู้เลยว่าเป็น Light Blue เสียดายที่ยังไม่มีโอกาสได้ซื้อขวดที่สองมาใช้ รอใช้ขดวที่มีอยู่หมดก่อนแล้วคงได้มีโอกาสแน่ๆค่ะ อ้อ อันนี้เป็นของผู้หญิงนะคะมีของผู้ชายด้วยเราจำไม่ได้ว่าเคยได้กลิ่นไหมไว้ไปหาดมดูดีกว่าค่ะ ที่เวปทางการไม่มีราคาและมีเป็น EdT อย่างเดียวค่ะ


9.            Brit ของ Burberry
เป็นแบรนด์ของอังกฤษที่ จขบ ยังไม่เข้าใจว่าลายตาๆอย่างนี้มันสวยยังไง หึหึ แต่น้ำหอมกลิ่นนี้มันหอมนวลๆค่ะ ตอนนั้นไปเวียดนามแล้ว Duty Free ที่นอยไบ น้ำหอมจะถูกเลยซื้อมาให้ลูกพี่ลูกน้อง แต่พอเขาใช้ จขบ ค้นพบว่าหอมดี เลยฝากเพื่อนซื้อมาให้อีกขวด เป็นน้ำหอมผู้หญิงนะคะ EdP 100 ml ราคาที่เวปทางการอยู่ที่ £64.00


10.    Woody Pour Homme ของ Kenzo
น้ำหอมกลิ่นนี้ตอนมัธยม จขบ ขโมยลูกพี่ลูกน้องผู้ชายใช้ กลิ่นก็เป็น Woody สมชื่อดีนะคะกลิ่นจะเย็นสบาย เหตุผลที่หยิบมาใช้ในตอนแรกคือขวดสีน้ำเงินเอียงๆมีลายนูนของต้นไผ่มั้งที่ขวด จขบ ได้มีโอกาสซื้อมาใช้เอง 1 ขวด แล้วยังไม่มีโอกาสได้ซื้อมาใช้อีกเลย คาดว่าในอนาคตคงจะมีโอกาสได้ซื้อมาอีกครั้ง แต่รอให้น้ำหอมในสต๊อกและในลิสที่จะฝากเขาซื้อหมดไปก่อน เป็น EdT ขนาด 3.4 oz. ราคาตามเวปทางการอยู่ที่  


Sunday 4 November 2012

Miscellaneous 33


เวลาผ่านไปไวมากๆค่ะ นี่ก็ต้นเดือนพฤศจิกายนแล้ว จริงๆวันนี้ไม่มีอะไรจะเขียน ตอนแรกว่าจะรีวิวหนัง แต่ไม่ได้ตั้งใจดูเลยจึงขอพูดหลายๆเรื่องรวมๆนะคะ

1.She เรื่องรักระหว่างเธอ
อย่างที่บอกว่าตอนแรกคิดจะรีวิวหนัง แต่ดูไม่ได้เก็บรายละเอียดเลยค่ะ ขอเล่านิดนึงนะคะว่าทำไมถึงได้ดีวีดีเรื่องนี้มา อาทิตย์ที่แล้วไปเดินวิลล่ามาร์เก็ตค่ะ หาซื้อขนมทานแต่เจอที่ขายดีวีดีลดราคาก็ไปรื้อดูได้ ดีวีดีการ์ตูนของ Studio Ghibli มาหนึ่งเรื่องระหว่างรื้อดูก็เจอดีวีดีเรื่องนี้เข้าเลยหยิบติดมือมาด้วย พอมีเวลาดูสงสัยหนังเรื่องนี้จะไม่ดึงดูดพอทั้งๆที่มีน้องแอน เบเกอร์ ที่เราว่าเขาน่ารักดี แต่น้องเล่นแข็งมาก คนแต่งหน้าก็แต่งได้ห่วยมากตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าเลย แถมเรื่องก็นะมีตอนทอมคนหนึ่งจะเคลมสาวตัวเอกอีกคน ทำให้เราอยากรู้ว่ามันมีทอมอย่างนี้จริงๆไหม แถมให้ทอมแต่ตัวตลกๆด้วย ดูไปคู่อีกคู่น่ารักกว่านะ สรุปดูไปแบบไม่ได้ตั้งใจอ้าวจบไปละ จบยังไงไม่รู้เลยด้วยซ้ำแถมเรื่องก็ดำเนินเร็วซะ ชอบ Yes or No มากกว่านะคะ หลายคนบอกว่าภาคสองก็ดี แต่ยังไม่มีโอกาสได้ดูเลยค่ะ ยังคงคิดอยู่ว่าจะหยิบออกมาดูอย่างตั้งใจอีกสักรอบไหม She เนี้ย อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆบางคนดูอาจจะชอบก็ได้นะคะ

2.The Voice Thailand
พอหมดรอบ Blind Audition เข้าสูรอบ Battle รู้สึกว่าความสนุกมันหายไปยิ่งทีมของคุณคิ้ม ไม่สนุกเลยไม่ได้เลือกคนเพราะผลงานที่แสดงตอนวันจริงกลับเลือกเพราะเสียงจากรอบ Blind มากกว่า แต่ยังคงติดตามเพราะทีมอื่นๆทำได้ดีนะคะ โดยเฉพาะทีมของสแตมป์ที่เห็นได้เลยว่าเขานนั้นจอมวางแผนจริง ว่าเลือกแต่ละคนเข้ามาในทีมเขาคิดไว้แล้วว่าใครจะมา Battle กับใคร เป็นโชว์ที่เพลงเพราะและสนุกค่ะ รอดูรอบ Live อยู่น่าจะมีอะไรน่าสนใจค่ะ

3.บล๊อกก่อนนู้นเล่าเรื่องที่ไป Dialogue in the dark มา แต่เพิ่งไปเจอว่ามี Dine in the dark ด้วย คือการไปรับประทานอาหารในที่มืดสนิท ว่าจะไปลองแต่คงไม่ได้ไปในเวลาอันใกล้นี้ค่ะ รอคนไปด้วยกับเวลาที่ลงตัวค่ะ รู้สึกว่าต้องโทรไปจองด้วยค่ะ ใครสนใจรู้สึกจะอยู่ที่ตึก Ascott สาธรนะคะ

4.ไม่นานนี้อ่านเจอเรื่องมีคนถูกโกงกรณีฝากคนในเนตหิ้ว iPhone5 มา คือ คนฝากซื้อช่างกล้าอะค่ะ โอนให้ไปครึ่งแสนให้ใครก็ไม่รู้ ไม่เคยรู้จักติดต่อกันมาก่อน แถมปีที่แล้วตอน 4s มีที่เวป หนึ่งรู้สึกจะโดนเชิดเงินไปเกือบล้านมั้ง เพราะความอยากได้อยากมีก่อนชาวบ้านเขาแท้ๆ ไม่เข้าใจได้ใช้ก่อนมันเท่ตรงไหน รอให้เข้ามาขายในไทยค่อยซื้อก็ได้ ได้ใช้กิ่นชาวบ้านไม่กี่เดือนแพงกว่าเกือบเท่า เฮ้อ ลัทธิวัตถุนิยมเกินไป

5.วันนี้ไปรื้อขวดน้ำหอมเก่าๆที่หมดแล้วจะทิ้ง แล้วก็เจอขวดหนึ่งที่เคยชอบมาก เดี๋ยวคงฝากเพื่อนสาวที่ไปอิตาลีหิ้วมาให้สักหน่อย น้ำหอมขวดนั้นคือ “ROMANCE” Eau de Parfum by Ralph Lauren คุณๆมีน้ำหอมที่ชอบกันไหมคะ ว่าแล้วก็นึกได้ บล๊อกหน้ามาพูดเรื่องน้ำหอมกันดีกว่าเนอะ เห็นแปลกๆอย่างนี้ใช้น้ำหอมมาแต่เด็กเชียวนะคะ

Thursday 1 November 2012

โซ๊ยแหลก


ไม่ได้เขียนบล๊อกมาลงระหว่างสัปดาห์มานานพอควรแล้ว พอดีวันนี้ไม่ยุ่งมากแถมวันก่อนคุยกับน้องๆถึงการ์ตูนที่สมัยเรียนมัธยมอ่าน จริงๆก็อ่านเยอะนะคะแต่ส่วนมากจะเป็นการ์ตูนผู้หญิง แต่วันนี้เราจะมาเขียนถึงการ์ตูนผู้ชาย ที่อ่านแล้วจัดว่าเป็นเรื่องที่ชอบที่สุด ลายเส้นอาจจะไม่สวย แต่ว่าเนื้อเรื่องสนุกดี ตอนนั้นพี่ชาย/น้องชาย ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องเขาก็จะอ่านไล่กันมาตั้งแต่ Dragonball ที่มีหลายภาคเหลือเกิน, จอมเกบลูส์ การ์ตูนนักเรียนนักเลง, แสบกว่านี้มีอีกไหม, Yuyu Hakusho คนเก่งฟ้าประธาน, รันม่า ½ , Super Dr. K, GTO, Slamdunk หรือแม้กระทั่ง บากิ ก็เคยผ่านหูผ่านตามาบ้าง

คุยกับน้องชายน้องบอกว่าตอนนี่มันตาม Naruto อยู่เรื่องเดียว ส่วนน้องชายอีกคนก็ตามอยู่หลายเรื่องแต่ที่เรารู้จักคือเรื่อง One Piece ที่เราเคยอ่านผ่านๆกับดูบ้างแต่ทั้งเรื่องเราชอบตัวการ์ตูนอยู่ตัวเดียวจาก One Piece คือตัว Tony Tony Chopper เพิ่งจะรู้ว่ามันคือกวางเรนเดียร์

แต่วันนี้เราจะพูดเรื่อง “โซ๊ยแหลก” เป็นการ์ตูนเกี่ยวกับการทำอาหารที่มีตัวเอกของเรื่องคือ
(รูปจาก weloveshopping)
1.เทนโด เรียวมะ นักเรียนที่ถูกสั่งพักการเรียน จนมาเจอเจ้าของโรงเรียนทำอาหารมาเอาตัวไปเรียนเพราะชื่นชอบฝีมือการใช้มีด เพียวแต่ต้องฝึกฝนเพิ่มเติม แล้วเรียวมะจะแบบว่าทำอาหารไม่ได้เป็นไปตามตำรา เรียวมะทำอาหารตามสัญชาติญาณล้วนๆ ยิ่งหิวสมองยิ่งแล่น เพราะเขาจะเลือกวัตถุดิบที่ดีที่สุด เพื่อมาทำอาหารให้อร่อยเพื่อเขาจะได้กิน แต่แข่งทีไร เรียวมะ โดนสั่งห้ามกินตลอด เนื่องจากไม่หิวสมองก็จะไม่แล่น 555

2.คิซากิ โนริตะ คนจากกลุ่มโกได ที่คอยมาแข่งขันเพื่อให้กลุ่มโกได ได้ครองร้านอาหาร,โรงแรมและซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วญี่ปุ่น คิซากิเป็นคนที่เก่งมากความรู้ความสามารถด้านการทำอาหารเป็นเยี่ยม เป็นคู่ต่อสู้ของเรียวมะตลอด

การ์ตูนเรื่องนี้แฝงข้อคิดไว้เล็กตอนต้นๆเรื่องคือ เมื่อได้อ่านว่าจุดประสงค์ของกลุ่มโกไดคืออะไร มันก็เหมือนระบบทุนนิยมอันเลวร้ายที่ต้องการเป็น Monopoly คงต้องชมคนแปลด้วยว่าแปลได้ดี อ่านตอนเด็กไม่ได้คิดอะไรพอมาอ่านตอนนี้ก็นะให้ความคิดมากขึ้น   

“พวกมันกว้านซื้อโรงเรียนสอนทำอาหารทั่วประเทศ แล้วให้ใช้เครื่องปรุงรสของพวกมันทั้งหมด  พวกมันมีกำลังทรัพย์มหาศาล............. เพื่อสร้างรสนิยมให้ลูกค้า ถ้าทำสำเร็จพวกมันก็จะลดต้นทุนอาหารได้และจะทำให้ได้กำไรมหาศาล”

มันก็เหมือนระบบที่บริษัทใหญ่ๆจากเมืองนอกมาสร้างซุปเปอร์มาร์เกต ตีตลาดตลาดสด ร้านโชห่วย ต้องปิดกิจการลง ทำให้ผู้บริโภคคิดว่าการได้ไปจับจ่ายซื้อของที่ซุปเปอร์นั้น in trend คนมีตังซื้อของในห้าง ทั้งที่พวกบริษัทมหาชนเหล่านี้ ได้เครดิตจากพวกเจ้าของสินต้านานกว่าจึงมีสายป่านยาวแถมในบางครั้งยังมีการเอาเปรียบลูกค้า เฮ้ยเขียนเรื่องการ์ตูนทำไมมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้  โดยส่วนตัวไม่ได้รังเกียจกลุ่มทุนพวกนี้มากมาย แต่เห็นว่าต้องจำกัดจำนวน ไม่ใช่เมืองเล็กๆมี ร้านสะดวกซื้อเปิด 24-7 เต็มไปหมด ควรที่จะต้องแบ่งพื้นที่ทำมาหากินให้คนในชุมชนบ้างค่ะ

เอาเป็นว่าอ่านการ์ตูนเรื่องนี้แล้วชอบมากๆ การทำอาหารแต่ละอย่างอาจจะมีแบบพิสดารบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดการ์ตูน จอมโหดกะทะเหล็ก แถมอาจจะได้ความรู้เล็กๆน้อยๆ เช่นการทำซอสสปาเก็ตตี้ หรือการทำพอชเอ้ก ตัวเอกอย่างเรียวมะก็ฮารั่วได้ใจสุดๆ

การอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นมักตะเวอร์ได้ใจอย่างนี้ล่ะค่ะ แต่เราว่าเรื่องนี้ยังโอเค เพราะถ้าเทียบกับพวกการ์ตูนกีฬาของญี่ปุ่นนั้นไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ ทั้ง สึบาสะ หรือ Prince of Tennis

สำหรับผู้ที่สนใจอ่านมีคนอัพเป็นไฟล์ PDF ไว้นะคะต้องขอบคุณคนอัพจริงๆ click ได้เลยค่ะ โซ๊ยแหลก

ขอจบท้ายกันไปอย่างง่ายๆแค่นี้ล่ะค่ะ ว่าแต่ไปโซ๊ยแหลกกันเถอะ อยากไปโซ๊ยอาหารญี่ปุ่นจังเลย

Monday 29 October 2012

บทเรียนในความมืด


เมื่อวานหายไปไม่ได้มาอัพบล๊อก เพราะ จขบ มัวแต่หนีไปเที่ยวค่ะ แต่ไม่ได้ไปงานสัปดาห์หนังสือที่ศูนย์ประชุมนะคะ เพราะขี้เกียวจฝ่าฝูงชนคนวันสุดท้ายแม้จะมีโอกาสได้หนังสือลดราคาเยอะเนื่องจากหลายสำนักพิมพ์บางทีขี้เกียจขนหนังสือกลับก็จะลดลงราคามาอีก แต่เมื่อไม่ได้ไปก็ไม่มีอะไรมาเล่านะคะ เพียงแต่จะบอกว่าเข้าไปดูที่ร้านนายอินทร์แถวบ้าน จะมีหนังสือเก่าซื้อหนึ่งแถมหนึ่งคุ้มมากๆไม่ต้องถ่อสังขารไปศูนย์ประชุม ความจริงเมื่อวานก็อยากไปแต่ติดขัดที่ไม่ได้เอารถไปแถมไปดูหนังกับไปนิทรรศการที่ จามจุรีสแควร์ ซึ่งเราจะเขียนถึงนี่แหละค่ะ อยากเชิญชวนให้คนไปกันหลายๆคนเพราะ อพวช ซื้อไลเซ่นมาจาก Germany ซื้อเป็นแบบปีต่อปีนะคะ เห็นว่าจะยังมีไปจนถึงตุลาคมปีหน้า ที่รีบไปอาทิตย์ที่ผ่านมาก็เพราะตอนแรกเห็นว่าจะหมดเขตเดือนตุลาคมนี้



ขอเล่าถึงนิทรรศการชื่อ บทเรียนในความมืด : Dialogue in the Dark” (ต่อไปนี้จะขอย่อโดยใช้คำว่า DID นะคะ) DID คิดสร้างที่แรกที่เยอรมนีโดย Andreas Heinecke   เพราะเขามีเพื่อนร่วมงานที่พิการทางสายตาในตอนแรก Andreas ที่มีความสงสารเห็นใจ แต่เขาได้ทราบว่าสิ่งที่เพื่อนเขาต้องการไม่ใช่ความเห็นใจและสงสาร และเขาก็ตกใจที่คนพิการทางสายตาถูกกีดกัน แบ่งแยกปฏิบัติจากคนที่ครบ32 (ความจริงคนพิการก็ถูกแบ่งแยกปฏิบัติหมดแหละค่ะ ยิ่งในประเทศที่บอกว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย)

DID เปิดตัวให้ผู้ชมเข้าชมครั้งแรกในปี ค.ศ. 1988 ที่เมือง  Frankfurt และมีจัดเป็นนิทรรศการชั่วคราวไปทั่วโลก จนมีเป็นนิททรศการถาวรเมื่อปี ค.ศ.2000 ที่เมือง  Hamburg

จุดประสงค์หลักของ DID มี 2 ข้อ คือ
1.เพื่อให้สาธารณะชนได้มีความใส่ใจกับมีความอดทนต่อความแตกต่าง เพื่อจะได้ก้าวข้ามกำแพงของ คำว่า “พวกเรา” กับ “พวกเขา” ไปได้
2.เพื่อสร้างงานให้กับบุคคลที่เสียเปรียบ เปลี่ยนจากข้อด้อยไปเป็นข้อเด่น

DID ของเมืองไทย จะมี 7 ห้อง ให้ผู้เข้าไปสัมผัสรับรู้ว่าผู้พิการทางสายตาใช้วิธีการเอาตัวรอดในสังคมได้อย่างไร เขาอาจจะต้องการความช่วยเหลือบ้างแต่พวกเขาไม่ต้องการความสงสารค่ะ
ทั้ง 7 ห้องและมีวัตถุประสงค์คือ (ข้อมูลจาก องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ข้อมูล DID )

1. ห้องแนะนำนิทรรศการ  เป็นพื้นที่เตรียมตัวเข้าชมนิทรรศการ และออกจากนิทรรศการ
2. ห้องนั่งเล่น / (Living room)  ปรับตัวเข้ากับความมืดและเริ่มสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้นำชม และผู้เข้าชมด้วยความไว้วางใจและเป็นกันเอง
3. สวนสาธารณะ/ Park  เปิดประสาทสัมผัสของคุณให้พร้อมและกระตุ้นการรับรู้ของผู้ชม
4. ย่านตลาด / Market  กระตุ้นประสาทสัมผัส รับรู้และจดจำเพื่อสร้างประสบการณ์เดียวกันกับที่คนตาบอดพบในการดำเนินชีวิตประจำวัน
5. ยานพาหนะ/การขนส่ง / Transport เช่น รถตุ๊กตุ๊ก การผจญภัยในชีวิตประจำวันโดยประสบการณ์การเดินทางโดยใช้รถตุ๊กตุ๊ก
6. ห้องเสียง / Music Room ห้องเสียง เพื่อเปิดรับประสบการณ์การรับรู้และความบันเทิงของประสาทสัมผัสในร่างกายทุกส่วน
7. บาร์ / Bar เพื่อสร้างบทสนทนาที่เป็นบทสรุปอันจะเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจระหว่างคนตาบอด และคนตาดี

ก่อนที่จะเขียนถึงประสบการ์และความประทับใจก็ขอให้ข้อมูลกับคนที่อยากไปสัมผัส บทเรียนแห่งความมืดด้วยตนเองว่า นิทรรศการนี้จัดที่ชั้น 5 ของ จามจุรีสแควร์ สามย่าน ราคาเข้าชมผู้ใหญ่ 90 บาท เด็ก/นักเรียน/นักศึกษา 50 บาท แนะนำว่าควรโทรไปจองก่อนนะคะ อย่าจองเล่นๆแล้วไม่ไปนะคะเพราะการเข้าไปสัมผัสจะเข้าได้แค่ครั้งละ 8 คนเท่านั้น คุณจองแล้วไม่ไปมันเสียโอกาสคนอื่นที่เขาอาจจะ walk in เข้าไปโดยบังเอิญได้ค่ะ แล้วถ้าคิดจะพาเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปีเข้าชมต้องระวังนะคะเพราะทางผู้จัดจะพาเด็กไปทดสอบก่อนว่าเด็กกล้าพอไหม เนื่องจากมันมืดสนิทจริงๆ ผู้ใหญ่อย่าง จขบ ยังหวั่นๆเลย ดีนะคะมีเพื่อนไปด้วย  ห้ามนำอุปกรณ์ที่เรืองแสงเข้าไปนะคะ ถ้าใส่แว่นก็ถอดได้เลย เพราะแว่นไม่จำเป็นค่ะ ตอน จขบ ไปก็เอาเก็บไว้ที่ Locker ที่ทาง อพวช จัดเตรียมไว้ให้ ปลอดภัยแน่นอนค่ะ ถอดหมดแว่นตา นาฬิกาข้อมือ โทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าสตางค์  เพราะถ้าคุณทำอะไรหล่นข้างในคุณคงหาไม่เจอแน่ๆค่ะ แล้วถ้าคุณไปทำอะไรให้เกิดแสงคุณจะถูกเชิญออกมาจากนิทรรศการนะคะ
Facebook ของ DID มีข้อมูลกับเบอร์ติดต่อค่ะ เข้าไปหาข้อมูลกันได้เลยนะคะถ้าสนใจ

มาถึงประสบการณ์ที่ จขบ ได้รับ จากการเข้าไปใน บทเรียนในความมืด ด้วยระยะเวลาโดยประมาณ 1 ชั่วโมงนั้น คุ้มมากค่ะ ตอนแรกที่เข้าไปมันจะมืดซะจน จขบ รู้สึกว่ากลัว มันไม่ใช่มืดแบบเวลาไฟดับที่พอ ดวงตาของเราทำความเคยชินแล้วจะพอเห็นอะไรได้บ้าง อันนี้คุณไม่มีโอกาสจะได้ใช้ประสาทสัมผัสของการมองเห็นเลยค่ะ จะได้เรียนรู้ว่าถ้าคุณเกิดเสียการมองเห็นไปคุณจะต้องกลัวการใช้ชีวิตแน่นอนค่ะ คุณไม่สามารถรู้ได้ว่าจะไปทางไหน นี่ขนาดเรามีพี่ไกด์นำ แถมมีเพื่อนร่วมในประสบการณ์ถึง 8 คน รู้ว่าทุกอย่างมันต้องปลอดภัย แล้วคนที่พิการทางสายตาล่ะคะ เขาไม่มีโอกาสได้รู้ว่าที่ที่พวกเขาจะไปจะเจออะไร จะปลอดภัยไหม จะสะดุดล้มไหม จะซ้ายหรือจะขวา ได้รู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นใช้ชีวิตอย่างไรในชีวิตประจำวัน ในเวลา 1 ชั่วโมงมันคงไม่เพียงพอที่จะทำให้เรารับรู้ได้ทั้งหมด แต่ก็ทำให้เราหัดเข้าใจคนอื่นบ้าง อย่าไปรำคาญเกิดเจอพวกเขาเหล่านั้นเข้าไปดูหนังโดยมีคนนั่งข้างๆอธิบายว่าเกิดอะไรกับหนังบ้าง ไปพบความเก่งว่าเขาแยกแบงค์ได้ยังไงกัน แล้วก็ยิ่งเกลียดไอ้พวกเลวๆที่เอาแบงค์ปลอมไปซื้อของหรือแลกจากคนตาบอด เลวมากๆค่ะ มีครบ 32 ยังไม่คิดจะทำมาหากิน (อันนี้ไกด์ไม่ได้เล่านะคะ เพียงแต่นึกไปถึงข่าวที่ได้รับฟังจากสื่อมา)

ท้ายนี้ขอแนะนำให้คุณๆไปสัมผัสประสบการณ์นะคะ อ้อ เราได้ไปดูหนังมาด้วยค่ะ ดูเป็น 3D ด้วย การ์ตูนของ Tim Burton เรื่อง FrankenWeenie หนังก็ Dark ตามสไตล์ ตา Tim แหละค่ะ แต่ตอนจบก็ซึ้งนะคะ คนที่ไปดูด้วยแอบมีน้ำตาไหลด้วยค่ะ ใครเป็นพวกรักสัตว์นี่น่าจะเป็นเหมือนคนที่ไปดูกับ จขบ นะคะ

นี่คือหนังที่ จขบ ไปดูมาค่ะ