Sunday 30 September 2012

Miscellaneous 32


กลัวห่างหายไปนานก็เลยมาเขียนแบบ มั่วๆยำๆให้ผู้ติดตามบล๊อกได้อ่านกันสักหน่อย วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจค่ะ ขณะเขียนอยู่นี่ลูกหมาตัวใหม่กำลังเห่าอย่างเป็นเอาตาย ไม่รู้มันเป็นอะไรของมัน ถ้ามันเป็นคนคงจะเดินไปถามเกิดมาไม่เคยตะโกนหรือไง รู้ไหมมันน่ารำคาญนะ

1.ตอนเด็กๆเคยมีหนังที่ชอบดูกันไหมคะ เราจำได้ช่วงประถมต้นที่บ้านมีวีดีโออยู่ม้วนหนึ่งที่เรากับน้องๆชอบดูกันมาก (แต่มาถามมันตอนนี้น้องชายที่ห่างจากเราหนึ่งปีมันจำเรื่องนี้ไม่เห็นได้เลย) หนังเรื่องนี้ชื่อเรื่อง “Bugsy Malone” ซึ่ง จขบ เพิ่งมารู้ว่าชื่อภาษาไทยคือ “บักซี มาโลน แก๊งค์ขนมเค้ก” จากการหาข้อมูลที่จะมาเขียนนี่แหละ แถมยังเป็นหนังที่เก่ามากตั้งแต่ปี 1976 ซึ่งก่อนที่ จขบ จะเกิดอีกหลายปีอยู่  แต่เป็นหนังที่ได้เข้าชิงออสการ์ด้วยนะคะ เรื่องนี้เป็นหนังเพลงเกี่ยวกับมาเฟียที่ใช้เด็กแสดง มีฉากต่อสู้กันด้วยปืนกลที่ยิงออกมาเป็นเค้ก นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ตอนนั้นชอบดู หนึ่งในตัวละครหลักคือ Jodie Foster คนอาจจะกล่าวถึงเธอใน Taxi Driver ซึ่งเป็นหนังปีเดียวกัน แต่บทช่างแตกต่าง และ จขบ ก็จำ Jodie ได้มากกว่าใน Bugsy Malone ค่ะ

Young Jodie Foster ร้องเพลง Jodie เป็นดาราที่ จขบ ชื่นชม เก่งฉลาด พูดภาษาฝรั่งเศสเก่งมาก ส่วนดาราชายชอบตา Hugh Laurie หรือ หมอ House ฉลาดเรียนเก่งมาก



อันนี้เป็นฉากจบที่มีการสู้กันด้วยเค้ก ตอนเด็กๆคงคิดอยากเอาเค้กมาสู้เหมือนอย่างในหนัง



2.ไม่รู้ว่าคนอ่านบล๊อกนี้เป็นแฟนรายการ English Breakfast ทางช่อง ThaiPBS กันบ้างหรือเปล่า วันนี้เป็นตอนสุดท้ายของรายการเขาแล้วนะคะ น่าเสียดายจริงๆที่รายการสอนภาษาอังกฤษดีๆจะลาจอไป คงคิดถึงพี่เต้ (จริงแล้วเขาก็รุ่นเดียวกับ จขบ นะ) กับ คุกกี้  ได้แต่หวังว่า ThaiPBS จะผลิตรายการสอนภาษาอังกฤษดีๆขึ้นมาอีก อย่ามัวแต่เอาเวลาไปเสนอข่าวแต่พวกโง่ NGO หึหึ เพราะภาษาอังกฤษเด็กไทยนั้นแย่นะคะ โดยเฉพาะเด็กต่างจังหวัด อ้อ เราชอบช่วงที่เอาเพลงมาสอนมากๆเลยค่ะ


3.อันนี้เรื่องขำของตัวเองคือทำไมมีแต่คนต้องถามว่าใช้ LINE ไหม เพื่อนคนไหนๆก็ถามดีนะที่เพื่อนสนิทสองคนไม่ใช้เลยไม่รู้สึกแปลกแยกอะไร เดี๋ยวนี้วิธีติดต่อมีมากมาย ไม่เข้าใจจริงๆ

ลากันไปแค่นี้ล่ะค่ะ วันนี้วันอาทิตย์อย่าลืมดู The Voice กันนะคะ

Wednesday 26 September 2012

Les Intouchables:The Intouchables



วันหยุดที่ผ่านมาได้ไปดูหนังที่อยากดูมาด้วยค่ะ หนังเรื่องที่พูดไปในบล๊อกก่อน หรือบล๊อกก่อนก่อนก็จำไม่ได้ จขบอายุเยอะเลยขี้ลืมค่ะ หนังเรื่องนี้ชื่อฝรั่งเศสคือ  Les Intouchables ด้วยที่คนตั้งชื่อภาษาอังกฤษคงจะให้ความเคารพไม่อยากเปลี่ยนแปลงมากหนังจึงชื่อ The Intouchables ในภาษาอังกฤษซึ่งมันไม่เป็นศัพท์ที่ถูก จริงๆแล้วมันก็คือ The Untouchables แต่ภาษาไทยนี่สิ “ด้วยใจแห่งมิตร พิชิตทุกสิ่ง” มันช่างตั้งชื่อได้.....

ทำไมหนังเรื่องนี้ถึงน่าสนใจ เพราะหนังเรื่องนี้ทำรายได้ใน Box Office ในฝรั่งเศสแซงหน้าหนังภาคต่อที่โด่งดังอย่าง Harry Potter แถมหนังยังสร้างจากเรื่องจริงด้วย ถ้าคุณได้ไปดูหนังคุณจะพบว่าหนังเรื่องนี้ดำเนินเรื่องไปอย่างเรื่อยๆ ไม่ได้มีจุดกระชากอารมณ์ ไม่ได้มีความตื่นเต้น แต่เป็นการดูหนังที่ไม่ง่วงเลยค่ะ (อาจจะเป็นเพราะ จขบ ชอบดูหนังเรื่อยๆอย่างนี้อยู่แล้ว ด้วยอายุที่โตขึ้นจึงเลือกหนังดูมากขึ้นเยอะ ถ้าเทียบกับสมัยมัธยมนี่ดูแทบทุกเรื่องและดูหนัง Hollywood ซะเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีความสนใจใน อุกกาบาตจะชนโลกแบบ Armageddon หรือมนุษย์ต่างดาวบุกโลกอย่าง ID4 ส่วนพวกหนัง Actions นี่จำไม่ได้จริงๆว่าเรื่องสุดท้ายที่ดูคือเรื่องอะไร หนังผีนี่ไม่เคยชอบดู นอกจากผีมีชั้นเชิงอย่าง The Sixth Sense ไม่ใช่ละครช่อง3 นะคะ) จขบ ชอบหลายๆคำที่ Phillipe พูดนะคะ อย่างตอนที่พูดกับทนายว่าที่จ้าง Driss เพราะ Driss ไม่ได้ให้ความสงสารเห็นใจทำให้เขาจ้าง Driss มาดูแล มันเป็นสิ่งที่คนพิการหลายคนไม่ต้องการจากคนที่ร่างกายแข็งแรง ไม่ต้องให้มาสงสาร  ชอบที่ Phillipe ชอบบรรดาเพลงคลาสสิค แต่ Driss ชอบ Earth, Wind & Fire เหมือนเป็นการทำให้คนแต่ละสังคมรู้จักกันมากขึ้น เหมือนแบบให้คนที่อยู่เขต 16 ใน Paris (เขตคนรวยพวกเศรษฐีเก่า) ให้มาทำความรู้จักกับ คนที่พักอาศัยในบ้านของรัฐแถบ Créteil  สรุปแล้วมันเป็นมิตรภาพที่ดีจริงๆดูแล้วอิ่มใจค่ะ ในชีวิตนี้หามิตรภาพอย่าง 2 คนในเรื่องได้เกิน 5 คนก็เยี่ยมแล้วค่ะ แถมเรื่องนี้ทำให้เราได้ยินภาษาฝรั่งเศสออกด้วยนะคะ คำง่ายๆที่คืนคุณครูไปไหมดแล้ว ทั้ง Oui, Non, D'accord, Sortie
อ้อขำเรื่องที่ผู้หญิงที่ Driss พยายามจีบด้วย ว่าทำไมจีบไม่ได้ซะที เฉลยมาทำเอาฮาเลย

เรื่อง Les Intouchables ทำให้เรานึกถึงเรื่อง  “Le scaphandre et le papillon” ที่สำนักพิมพ์ผีเสื้อเอามาแปลขายและแปลจากชื่อได้ตรงตัวที่สุด ชุดประดาน้ำและผีเสื้อหนังสือเรื่องนี้เขียนโดยการกระพริบตาของ JEAN - DOMINIQUE BAUBY เขาเป็นอดีตบก.บห.ของ Elle ฝรั่งเศส แต่เส้นเลือดในสมองแตกทำให้ขยับได้แต่เปลือกตาซ้าย และกว่าเขาจะเขียนหนังสือได้ ต้องมีคนนั่งไล่ตัวอักษรให้เขากระพริบตาว่าเขาจะใช้อักษรตัวนี้ คิดดูว่าต้องใช้ความพยายามขนาดไหน หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่เขากล่าวถึงครอบครัว ความสัมพันธ์กับพ่อ จขบ ได้อ่านหนังสือเล่มนี้นานมากๆแล้ว หอบหิ้วไปเรียนด้วยแต่ไม่ได้เอากลับมาเพราะให้คนอื่นไปอ่านต่อ ตอนนี้อยากจะเอามาอ่านเพื่อฟื้นความจำอีกครั้ง คงต้องซื้อใหม่ อ้อหนังสือเล่มนี้ได้สร้างเป็นหนังด้วยนะคะ ในชื่อภาษาอังกฤษคือ “The Diving Bell and The Butterfly” แถมได้รางวัลเพียบเลยนะคะ ใครเป็นคอหนังยุโรปน่าจะเคยได้ยินหรือเคยดูแล้วก็ได้  ตอนนั่งเขียนก็นึกขึ้นได้ว่าเราซื้อ DVD เรื่องนี้มาเก็บไว้นี่ หุหุ แก่แล้ว แต่โดยปกติถ้าเราได้อ่านหนังสือก่อนเราจะไม่ดูหนังนะคะ มันทำลายความสุขจากการอ่านจริงๆค่ะ ถ้าหนังทำออกมาแย่

สรุปง่ายๆสั้นๆ ชอบค่ะเรื่อง The Intouchables แนะนำให้ไปดูกันนะคะ เผื่อคนนำหนังเข้ามาฉายจะได้เอาหนังดีๆจากยุโรปมาให้คนไทยดูบ่อยๆ ไม่งั้นต้องรอไปช่วงเทศกาลหนังอย่างเดียว

ปล.ฟังเพลงนี้ประกอบไปด้วย Vivaldi ช่วง Summer จาก Four Season กับ September ของ Earth, Wind & Fire  และ Feeling Good ของ เจ้าป้า Nina Simone ด้วย เพลงที่เราชอบทั้ง 3 เพลงเลย ช่างเป็น OST ที่มีคลาสจริงๆ ฮาฮาฮา



Thursday 20 September 2012

Miscellaneous 31


วันนี้เพิ่งมีเวลาว่าง แอบหนีมาเขียนบล๊อกหลังจากห่างหายไปนาน เดี๋ยวมิตรรักนักอ่านที่นับไปนับมาใช้มือเดียวก็พอ คิดว่าเลิกเขียนไปแล้ว วันนี้ก็มารวมๆมั่วนะคะ

1.The Voice Thailand ที่ฉายเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (15-09-2012) ชอบหลายคนเลยนะคะแต่ที่ชอบที่สุดคือ น้องกลม ที่ท่าทางการแต่งตัวของน้องเขานั้นคงทำให้คนหลายๆคนแปลกใจ เพราะเสียงน้องเขาสวยมาก แถมเลือกเพลง Nobody มาร้องอีก กล้ามากที่เอาเพลงเกาหลีมาร้องประกวด ชอบดูมากขำกันสุดๆตอนที่แต่ละคนเกทับบลัฟแหลกกัน สนุกดี


2.เราได้ทำการลบล้างอาถรรพ์ที่เข้าแก๊งไหนหัวหน้าตายหมดได้แล้วนะคะ คือเชียร์วอลเลย์บอลสาวๆที่แข่งรอบชิง AVC กับจีนแล้วชนะ ดูแล้วชื่นชมคุณวรรณา บัวแก้ว สุดๆรับได้ทุกลูกประสบการณ์ล้วนๆ

3.ตอนนี้ฝนตกตลอดเลยค่ะ ใครอยู่กรุงเทพก็ต้องระวังรถติดกันนะคะ ตอนแรกเห็นว่าจะตกถึงแค่สิ้นอาทิตย์นี้แต่กดไปดู forecast ทำไมเหมือนจะตกหนักไปถึงสิ้นเดือนเลย เห็นคนรู้จักหลายคนติดอยู่บนทางด่วนนานมาก น่าสงสารที่สุด ขนาดอยู่ต่างจังหวัดยังเบื่อเลยค่ะ

4.แนะนำหนังค่ะ หนังฝรั่งเศสเรื่องนี้เพิ่งเข้ามาฉายในไทยค่ะ แต่หนังทำเงินในยุโรปตั้งแต่ปีที่แล้ว หนังเรื่อง The Intouchables ค่ะ 

Monday 10 September 2012

The Voice Thailand 1


ขณะนี้เวลา 11.30 น. โดยประมาณค่ะ ไม่ได้ขยันจะอัพบล๊อกหรอกนะคะเป็นเรื่องบังเอิญที่ เมื่อเช้านั่งทำงานไปฟังรายการ The Voice ไป ต้องฟังนะคะเพราะเปิดเสียงไว้ ไม่ได้ดูภาพเปรียบเสมือนเป็นการร่วมทำ Blind audition ไปพร้อมๆกับโค้ชทั้ง 4 เลยตัดสินใจที่จะเขียนถึงค่ะ คาดว่าคงไม่ใช่เวลานานอะไร แต่เสียดายเมื่อวานไม่ได้ติดตามเพราะไม่คิดว่ารายการประกวดร้องเพลงในประเทศไทยจะเจ๋งขนาดนี้ หลังจากต้องทนดูดราม่าน้ำตาตก สร้างเรื่องราวจากหลายรายการ Reality ในประเทศไทย ทำให้โดยส่วนตัวเลิกดูมานานแล้วค่ะ ไม่ว่าจะ AF, The Star, Thailand Got Talent และ ฯลฯ อย่าง AF มีหลายคนที่น้องเข้ามาได้ไงคะ แฟนพันธ์แท้หลายคนก็บอกว่า AF ไม่ได้ประกวดร้องเพลง แต่ๆน้องร้องเพลงกันทุกอาทิตย์เลยเริ่มงงกับชีวิต J  ความจริง จขบ เคยดู The Voice UK มาก่อน ก็เลยพอเข้าใจกติกาบ้าง เวลา 4 คน เกทับบลัฟแรกให้ผู้เข้าแข่งขันเลือกตัวเองนะ ขำดี ขนาดฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะทำงานไปด้วย โดยส่วนตัวเสียดายสาวที่ร้องเพลง La Vie En Rose มาก ชอบที่เขากล้าที่จะร้องเพลงฝรั่งเศส เพี่ยงแต่เขาเลือกเพลงมาเนิบไป กรรมการเลยไม่เลือกเสียดายนะ เราชอบเขามากกว่าน้องคนที่โจอี้เลือกอีก แถมชื่อ เก๋ดี ฝนพาพ่อแม่ช่างตั้ง อ้อ อีกอย่างสงสัย จขบ ชอบเพลง La Vie En Rose ต้นฉบับด้วยมั้งคะ แล้วน้องอีกคนที่พี่ก้องเลือกไป น้องเขาเกิดมากกับเพลงลูกทุ่ง แต่เดี๋ยวนี้พวกโรงเรียนสตรีนี่กลายเป็นสห อย่างน้องเขาเรียนโรงเรียนสตรีภูเก็ต แต่เป็นเด็กผู้ชาย



อันนี้ La Vie En Rose ต้นฉบับที่เราชอบ


ชอบคลิบนี้ที่พยายามกันอย่างเหลือเกินที่จะให้ผู้เข้าแข่งขันเลือก ขำดี


คลิปอื่นถ้าสนใจ YT มีคนอัพลงทุกคลิปค่ะ

Sunday 9 September 2012

หัดเขียน 24


ตอนใหม่มาแล้วค่ะขอโทษที่ทำให้รอนานนะคะ ยุ่งจริงๆค่ะ บางทีก็มีงานด่วน 2 ทุ่มยังนั่งปั่นงานอยู่เลย

บทที่  ๒๓

วันเสาร์-อาทิตย์ทั้งสี่สาวได้ไปใช้เวลาอยู่ที่ Parc Astérix ได้ย้อนกลับเหมือนได้ไปเที่ยวกับเพื่อนตอนสมัยมัธยมอีกครั้ง ณีนนาราอาจจะไม่ได้เล่นของเล่นมากเพราะด้วยสภาพร่างกายที่ยังไม่เอื้ออำนวยเท่าใดนัก เบญจ์ก็สมัครใจที่จะนั่งเป็นเพื่อนแฟนสาวปล่อยให้ ตะวันกับปูรณ์เล่นของเล่นถ่ายรูปกันอย่างเต็มที่ เย็นวันอาทิตย์หลังจากที่กลับมากจาก Parc Astérix เอาสัมภาระไปเก็บที่โรงแรม ทั้งสี่สาวก็ไปนั่งเรือ Bateaux Mouches ล่องแม่น้ำ Seine  ที่สามารถเห็นสถานที่ที่น่าสนใจ เช่น Eiffel Tower; Notre-Dame Cathedral ; the Alexander III Bridge, the Pont Neuf; the Orsay Museum, และ the Louvre Museum

“สวยจังเนอะ ดูวิวนี้แล้วนึกถึงหนังเรื่อง Before Sunset จังค่ะ หนังไม่ต้องหวือหวาไม่ต้องลงทุนทั้งเรื่องมีแค่ตัวเอก 2 คนคุยกัน แค่มี Script ดีๆก็เพียงพอแล้วจริงๆ” ณีนนารานั่งชมวิวพร้อมหันไปบอกเล่าความคิดของเธอให้แฟนสาวฟัง

“เรื่องนี้เราชอบนะ เราชอบตัวเอกทั้ง 2 คนเลย Ethan Hawke กับ Julie Delpy  จริงแล้วชอบมาตั้งแต่ภาคแรก แต่ด้วยอายุและอะไรหลายอย่างเราชอบ Before Sunset มากกว่า Before Sunrise นะคะ อาจจะเป็นคำพูด ความเข้าใจในชีวิต แถม Paris ยังสวยมากเหมาะกับการถกปัญหาชีวิต ถึงแม้ในเรื่องไม่สามารถบอกได้ว่าทั้งคู่ได้นอกใจแฟนหรือเปล่าในตอนจบแต่เราเชื่อว่า Jesse ไม่กลับอเมริกาแน่นอนเพราะตกเครื่องแล้ว” เบญจ์พูดไปพลางหัวเราะ

“ณีนชอบหลายๆบทในเรื่องนี้นะคะ บางคำคมนี่จำติดฝังลึกเลยค่ะ โดยเฉพาะตอน Celine พูดว่า Memories are wonderful things, if you don't have to deal with the past. จริงนะคะพอฟังแล้วณีนจดไว้เลย เบญจ์รู้หรือเปล่าคะว่าณีนมักจะจดคำคมจากหนังเก็บไว้ในสมุดเล่มเล็กๆเล่มหนึ่ง ว่างๆก็เอามาอ่านดูค่ะช่วยเตือนความจำพร้อมคิดว่าทำไมณีนถึงชอบคำคมนี้จากเรื่องนี้กันนะ”  ณีนนาราเล่าให้เบญจ์ฟัง

“แต่ตอนจบเบญจ์ชอบนะคะ ชอบที่ Celine ร้องเพลง เพลงน่ารักดี” เบญจ์ก็ร้องเพลงคลอเบาๆให้แฟนสาวฟัง Let me sing you a waltz / Out of nowhere, out of my thoughts / Let me sing you a waltz / About this one night stand / You were, for me, that night / Everything I always dreamt of in life / But now you're gone / You are far gone / All the way to your island of rain / It was for you just a one night thing / But you were much more to me, just so you know / I don't care what they say / I know what you meant for me that day / I just want another try, I just want another night / Even if it doesn't seem quite right / You meant for me much more than anyone I've met before...............

“เพลงนี้ณีนก็ชอบค่ะ Julie Delpy เขาเก่งทั้งเขียนบท ทั้งแต่งเพลง แถมเล่นกีตาร์ด้วย”

“นี่คู่รักคู่ทรหดเขาให้มาชมวิวไม่ใช่ให้มานั่งจู๋จี๋กันสองคน แล้วยังมีนั่งหัวโด่กันอีกเพียบบนเรือ” ปูรณ์หันมาแซว

“นี่เบาๆหน่อยจะตะโกนทำไมล่ะ” ณีนนาราดุกลับไป

“พอๆทั้งคู่ นี่เรากำลังจะผ่าน Pont Alexandre III สะพานที่เขาว่าสวยที่สุดใน Paris นะยิ่งเราล่องเรือเวลานี้ทำให้เราได้เห็นไปที่เขาเปิดยิ่งสวยมากขึ้น” ตะวันรีบหย่าศึกพร้อมชี้ชวนให้เพื่อนๆดูวิว

“สวยจริงๆด้วยค่ะ ณีน ปูรณ์” เบญจ์รีบเสริมความเห็นให้ปูรณ์กับณีนนาราหันไปดูวิว

เมื่อทั้งสี่ขึ้นมาจากเรือก็ตัดสินใจนั่งแท๊กซี่ไปที่ร้านอาหารที่ปูรณ์จองไว้แถบย่าน Opéra ชื่อร้าน Aux Lyonnais เป็นของเชฟชื่อดัง Alain Ducasse ที่เสริฟอาหารจากทางเมือง Lyon แถมยังมีไวน์จาก Lyon ให้เลือกสรร หลังจากอิ่มอร่อยจากอาหารอันเยี่ยมยอดก็เดินทางมาพักผ่อนที่โรงแรมก่อน  วันรุ่งขึ้นทั้งสี่จะขับรถไปเที่ยวเมือง Giverny ตอนเช้าเพื่อที่จะได้ไปถึง Monet’s House ก่อนที่ทัวร์ต่างๆจะมาถึง หลังจากที่เดินชมบ้านชมสวนกันแล้ว ก็ได้นั่งพักผ่อนกันที่ทานอาหารกลางวันกันที่ Forêt de Bizy โดยมีหัวหน้าทัวร์ได้เตรียมแซนด์วิชที่ออกไปซื้อตั้งแต่เช้าก่อนออกเดินทางมาให้เพื่อนร่วมอุดมการณ์การเที่ยวรับประทาน เมื่อนั่งพักผ่อนหย่อนใจ ทั้งหมดก็ตัดสินใจที่จะขับรถกลับ Paris แต่เป็นการขับรถแบบไปตามเส้นทางชนบทเพื่อชมวิวไม่ใช่การขับรถโดยการใช้มอร์เตอร์เวย์เหมือนขามา และตัดสินใจกันว่าจะลองทานอาหารเย็นตามร้านอาหารที่ขับผ่านก่อนเข้าเมืองดู เพราะการรับประทานอย่างนี้มักจะได้ประสบการณ์อาหารแบบต้นตำรับแท้ๆ ที่สำคัญณีนนารานั้นมีความรู้ภาษาฝรั่งเศสดีไม่มีอุปสรรคในการสื่อสารแน่นอน เบญจ์ขับรถมาถึงโรงแรมประมาณเกือบสามทุ่มสี่สาวก็แยกย้ายกันพักผ่อน

วันรุ่งขึ้นเป็นวันสุดท้ายใน Paris ตอนเช้าเบญจ์กับปูรณ์ลงมาจัดการเรื่องส่งคืนรถเช่า และตกลงกันว่าจะแยกย้ายกันเที่ยว แต่นัดมาเจอกันที่โรงแรมเพื่อมาเอาสัมภาระที่ฝากไว้เวลา 16.00 น. ก่อนที่จะนั่งแท๊กซี่ไป Gare du Nord เพื่อนั่งรถไฟกลับอังกฤษ

ปูรณ์ตัดสินใจว่าจะไปเดินเล่นย่านใจกลางเมืองเพื่อถ่ายรูปวิถีชีวิตคนฝรั่งเศส เดินไปเรื่อยๆแบบไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่ชัด  ตะวันจะไปเดินย่านมหาวิทยาลัย La Sorbonne แล้วจะไปเดินหาหนังสือใหม่และมือสองจากร้าน Gibert Jeune พร้อมทั้งจะไปซื้อขนมไปฝากคนที่สำนักงานด้วย  ส่วนสองสาวคู่รักตกลงกันว่าจะไปเดินเล่นที่ Louvre แล้วก็ไปนั่งดื่มโกโก้ร้อนที่ร้าน Angelina ใกล้ๆกับพิพิธภัณฑ์ Louvre ซึ่งเป็นร้านโปรดของณีนนารา

“อยากให้เมืองไทยมีพิพิธภัณฑ์เยอะๆเหมือนที่ Paris จังเลยค่ะ เด็ก เยาวชนจะได้มีที่ไปชื่นชมงานศิลป์แล้วก็มีกิจกรรมทำ ไม่ต้องวันๆนั่งเล่นเกมเล่นอินเตอร์เนตอยู่ที่บ้าน”

“ใช่ที่นี่พิพิธภัณฑ์ไม่น่าเบื่อเหมือนเมืองไทย มีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะ เด็กๆสนุกแถมได้ความรู้ แต่เบญจ์เคยไปที่ จามจุรีสแควร์ไหมเขามี นิทรรศการ  ‘Dialogue in the Dark – บทเรียนแห่งความมืด’  น่าสนใจมากณีนเคยดูจากรายการโทรทัศน์ก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปซะที”

“ไม่เคยไปค่ะไว้ไปกันค่ะ นิทรรศการอย่างนี้น่าจะประชาสัมพันธ์เยอะๆหน่อยเด็กจะได้ไปกันนะคะไม่ใช่วันๆไปนั่งจีบกันตามที่เรียนพิเศษ”

“นานๆที จะได้ยินเบญจ์พูดจารุนแรงแบบนี้นะคะ แต่ณีนเห็นด้วยที่สุดค่ะ ดีนะที่เรามีลูกไม่ได้” ณีนนาราพูดพลางหัวเราะเบาๆ

“ได้นะคะ ถ้าณีนย้ายไปอยู่นอร์เวย์กับเบญจ์ ที่นู่นมีคู่เกย์ที่มีลูกเยอะทั้งตั้งท้องเองและ รับเด็กมาเป็นลูกบุญธรรม” เบญจ์แหย่ณีนนารา
“แหม ก็รู้นี่คะว่าณีนรักเด็กบางคน เล่นได้เป็นครั้งคราว แต่ถ้าต้องมีดูแลสู้รบกับเด็กร้องไห้ไม่ไหวค่ะ” ณีนนาราหันไปยิ้มให้กับแฟนสาว

“ไปกันเถอะค่ะ บ่ายโมงแล้วเดี๋ยวณีนจะไปนั่งทานอาหารกลางวันกับโกโก้ร้อนที่ Angelina ไม่ใช่เหรอ ตอนนี้คนน่าจะซาแล้ว เราจะได้ไม่ต้องรีบค่อยๆทานแล้วก็กลับไปเจอปูรณ์กับตะวันที่โรงแรม”

“ใช่ค่ะ ทานเสร็จแล้วเดี๋ยวซื้อมากาฮองที่ Pierre Hermé ไปให้ตะวันไว้ทานกับชาด้วยค่ะ เห็นตะวันบอกว่าอยากลองชิมของร้านนี้เพราะปกติก็ซื้อลองไปทั่วแต่ยังไม่เคยชิมของ Pierre Hermé

ทั้งคู่ก็ไปนั่งทานอาหารกันที่พร้อมทั้งคุยเรื่องเหตุการณ์ที่ณีนนาราได้ตัดสินใจไว้บ้างแล้ว

“เบญจ์ให้ณีนสั่งนะคะ ขอแบบหนักนิดนึงนะคะ เพราะเบญจ์หิวใช้พลังไปกับการเดินเยอะวันนี้”

“ได้เลยค่ะ ต้องเผื่อท้องไว้ดื่มโกโก้ร้อนกับของหวานด้วยนะคะ ร้านนี้เสริฟ The Best Hot Chocolate in The World เลยนะคะ”

“ค่ะเชื่อค่ะ ว่าแต่พอกลับไปอังกฤษแล้วณีนจะกลับเมืองไทยพร้อมปูรณ์เลยหรือเปล่าคะ เบญจ์จะได้เลื่อนตั๋วถูก”

“กลับพร้อมปูรณ์ค่ะ เบญจ์เลื่อนตั๋วได้เลย ณีนก็จะได้โทรไปจองตั๋วกลับ”

“ไม่อยากอยู่พักผ่อนอีกนิดเหรอคะ ก่อนที่จะต้องไปทำงานกับต้องไปง้อคุณแม่”

“ณีนอยากกลับไปทำงาน อยากไปนอนคอนโดแล้วณีนคิดถึงเตียงที่คอนโดจะแย่”

“ค่ะ ว่าไงว่าตามกัน เรื่องคุณแม่ณีนมีแผนอะไรไหมคะ”

“ไม่มีเลย คงต้องปล่อยให้เวลาช่วยเยียวยารักษาความสัมพันธ์ของแม่กับณีนให้ค่อยดีขึ้นตามลำดับซึ่งไม่รู้ว่าจะพอมีทางไหม”

“แต่ถ้าณีนไม่ทำอะไรเลยไม่ไปง้อคุณแม่ ความเย็นชาจะยิ่งเพิ่มขึ้นนะคะ ความห่างก็อาจจะยิ่งเพิ่มขึ้น และยิ่งนานออกไปณีนกับแม่ก็คงจะกลับมาคุยกันลำบากขึ้น”

“ที่ณีนพูดว่า ณีนไม่มีแผนแต่ไม่ได้หมายความว่าณีนจะไม่ทำอะไรเลยนะคะ ก็คงเข้าไปหาคุณแม่เอาของโปรดจากอังกฤษไปให้ท่าน แม่ก็คงเย็นชากลับมาเหมือนเดิม”

“เบญจ์จะเป็นกำลังใจให้นะคะ แต่เบญจ์คงไม่ไปด้วยนะคะไม่งั้นคุณแม่เห็นหน้าเบญจญ์จะอารมณ์เสียมากขึ้น”

“ขอบคุณที่เข้าใจนะคะ แต่ณีนคงแบบทำให้แม่รู้ว่า ถึงณีนมีเบญจ์ ณีนก็คงยังรักเคารพท่านเหมือนเดิม การที่มีแฟนเป็นเพศหญิงไม่ได้มีอุปสรรคต่อการใช้ชีวิต เพียงแต่ครอบครัวเข้าใจยอมรับไม่กีดกัน การที่คนสองคนจะรักกันอาศัยอยู่ด้วยกันไม่ใช่ต้องเป็นแค่ระหว่างหญิงกับชายเท่านั้น ชีวิตณีนต้องดำเนินต่อไป ณีนยังต้องทำงาน ต้องมีคนรักที่ต้องดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เมื่อคนเราเกิดมาจนโตชีวิตคงขึ้นอยู่กับความต้องการของครอบครัวไม่ได้ เพียงแต่จะพยายามทำให้กระทบต่อครอบครัวน้อยที่สุด”

“ค่ะเราสองคนจะช่วยกันทำให้ครอบครัวและคนใกล้ชิดเห็นว่า เราสองคนนั้นพอดีกัน เข้ากันดี พร้อมจะรักษา ประคับประคองรักครั้งนี้ให้ดีที่สุด ไม่ต้องให้มีคนมาอิจฉาในรักเรา ขอแค่เขามองอย่างยินดีในรักของเราก็คงเพียงพอแล้วใช่ไหมคะ”

“ใช่ค่ะ เพราะณีนก็ไม่ใช่คนที่ดีพร้อม เบญจ์ก็ไม่ใช่คนที่perfect แต่เราสองคนลงตัวกันในความรัก ในการใช้ชีวิตร่วมกัน ฉะนั้นปัญหาที่มีหรืออาจจะเข้ามาในภายหน้าเราสองคนคงร่วมมือร่วมใจฝ่าฟันกันไปได้แน่ ยามที่เบญจ์อ่อนแอณีนจะไปเป็นผู้ให้กำลังใจช่วยเหลือเองค่ะ และณีนก็มั่ใจว่ายามที่ณีนอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเหมือนตอนนี้เบญจ์ก็จะอยู่เคียงข้างไม่ต้องเดินนำหน้าให้ณีนหลบอยู่ข้างหลัง แค่เดินจับมืออยู่ข้างๆกัน คอยบีบมือให้กำลังใจพร้อมมีบ่าไว้ให้ซบเวลาที่ณีนต้องการก็เพียงพอแล้ว แล้วเราจะจูงมือเดินไปด้วยกันนะคะ”

“ค่ะ เราสองคนจะจูงมือไปด้วยกัน”


จบ(บริบูรณ์)
B de Beauvoir 09-09-2012 @Thailand

กรุณาฟังเพลงนี้ไปด้วยนะคะ Angel ของ Leona Lewis

I feel it, you feel it
That this was meant to be.
I know it, you know it
That you were made for me.
We can't deny it any longer
Day by day it's getting stronger.
I want it, you want it
It's what the people want to see.

We're like Romeo and Juliet
Families can't divide us.
Like the tallest mountain or the widest sea
Nothing's big enough to hide us.
When we make love its overwhelming
I just touch the heavens
You're an angel, you're an angel

I said this world, this world.
Could leave us any day
But my love for you, it will never go away.
And i don't wanna go to sleep
Cuz' you are like a dream
For every night I say a prayer,
And I swear you are the answer
You're an angel, you're an angel, you're an angel.

So we take it and each moment our love grows
I see it, you see it,
What we have is made of gold
We're so filled with meaning,
Nothing can make us shallow.
So I hold it, and you hold it
The promise of tomorrow.
When we make love its overwhelming
I just touch the heavens.
You're an angel, you're an angel

And I said this world, this world
Could leave us any day
But my love for you, it will never go away.
And i don't wanna go to sleep
Cuz' you are like a dream
For every night I say a prayer,
And I swear you are the answer
You're an angel, you're an angel, you're an angel.

I don't need three wishes
Oh I just need one
For us to never be finished
For us to never be done
When they say it's over
We'll just say I love you
And when they say it's finished
We'll just keep on building.

And I said this world, this world
Could leave us any day
But my love for you, it will never go away.
And i don't wanna go to sleep
Cuz' you are like a dream
For every night I say a prayer,
And I swear you are the answer (x2)

You're an angel, you're an angel, you're an angel.

Yes you are. You're an angel.


ขอจบกันไปง่ายๆอย่างนี้ค่ะ ชีวิตคนเราคงไม่สามารถทำให้คนที่ไม่เห็นด้วยในรักของเพศเดียวกันอย่างคุณณิชาหันมาเห็นด้วยได้ เรื่องอย่างนี้คงต้องร่วมฝ่าฟันกัน แต่ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งท้อใจจนยอมแพ้ความรักก็จะจบลงค่ะ ความรักเมื่อมีปัญหาต้องร่วมมือกันสู้ปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสู้คนเดียวคงไม่ได้ จขบ มีความเชื่อว่าชีวิตของคนสองคนจะเริ่มขึ้นจริงๆก็ต่อเมื่อได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ร่วมบ้านร่วมห้องเดียวกัน เพราะนิสัยทั้งหลายจะแสดงออกมาให้เห็น ฉะนั้นรักครั้งนี้ของณีนกับเบญจ์จะเป็นยังไงก็ตามแต่ทุกท่านจะคิดนะคะ คุณแม่จะยอมรับไหมก็แล้วแต่ว่าผู้อ่านจะมีประสบการณ์อย่างไร

เขียนไม่ดี เขียนผิด ถูกใจ ไม่ถูกใจ อย่างไรก็ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์ทนอ่านกันมานาน แม้ช่วงหลังๆ จขบ จะยุ่งจนอัพช้า(มาก)ไปบ้าง แต่หลังจากนี้จะมาอัพบล๊อกเรื่องบ้าๆบอๆเหมือนเดิมค่ะ หากยังสนใจติดตามจะขอบพระคุณมาก ฮาฮาฮา