Monday 29 October 2012

บทเรียนในความมืด


เมื่อวานหายไปไม่ได้มาอัพบล๊อก เพราะ จขบ มัวแต่หนีไปเที่ยวค่ะ แต่ไม่ได้ไปงานสัปดาห์หนังสือที่ศูนย์ประชุมนะคะ เพราะขี้เกียวจฝ่าฝูงชนคนวันสุดท้ายแม้จะมีโอกาสได้หนังสือลดราคาเยอะเนื่องจากหลายสำนักพิมพ์บางทีขี้เกียจขนหนังสือกลับก็จะลดลงราคามาอีก แต่เมื่อไม่ได้ไปก็ไม่มีอะไรมาเล่านะคะ เพียงแต่จะบอกว่าเข้าไปดูที่ร้านนายอินทร์แถวบ้าน จะมีหนังสือเก่าซื้อหนึ่งแถมหนึ่งคุ้มมากๆไม่ต้องถ่อสังขารไปศูนย์ประชุม ความจริงเมื่อวานก็อยากไปแต่ติดขัดที่ไม่ได้เอารถไปแถมไปดูหนังกับไปนิทรรศการที่ จามจุรีสแควร์ ซึ่งเราจะเขียนถึงนี่แหละค่ะ อยากเชิญชวนให้คนไปกันหลายๆคนเพราะ อพวช ซื้อไลเซ่นมาจาก Germany ซื้อเป็นแบบปีต่อปีนะคะ เห็นว่าจะยังมีไปจนถึงตุลาคมปีหน้า ที่รีบไปอาทิตย์ที่ผ่านมาก็เพราะตอนแรกเห็นว่าจะหมดเขตเดือนตุลาคมนี้



ขอเล่าถึงนิทรรศการชื่อ บทเรียนในความมืด : Dialogue in the Dark” (ต่อไปนี้จะขอย่อโดยใช้คำว่า DID นะคะ) DID คิดสร้างที่แรกที่เยอรมนีโดย Andreas Heinecke   เพราะเขามีเพื่อนร่วมงานที่พิการทางสายตาในตอนแรก Andreas ที่มีความสงสารเห็นใจ แต่เขาได้ทราบว่าสิ่งที่เพื่อนเขาต้องการไม่ใช่ความเห็นใจและสงสาร และเขาก็ตกใจที่คนพิการทางสายตาถูกกีดกัน แบ่งแยกปฏิบัติจากคนที่ครบ32 (ความจริงคนพิการก็ถูกแบ่งแยกปฏิบัติหมดแหละค่ะ ยิ่งในประเทศที่บอกว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย)

DID เปิดตัวให้ผู้ชมเข้าชมครั้งแรกในปี ค.ศ. 1988 ที่เมือง  Frankfurt และมีจัดเป็นนิทรรศการชั่วคราวไปทั่วโลก จนมีเป็นนิททรศการถาวรเมื่อปี ค.ศ.2000 ที่เมือง  Hamburg

จุดประสงค์หลักของ DID มี 2 ข้อ คือ
1.เพื่อให้สาธารณะชนได้มีความใส่ใจกับมีความอดทนต่อความแตกต่าง เพื่อจะได้ก้าวข้ามกำแพงของ คำว่า “พวกเรา” กับ “พวกเขา” ไปได้
2.เพื่อสร้างงานให้กับบุคคลที่เสียเปรียบ เปลี่ยนจากข้อด้อยไปเป็นข้อเด่น

DID ของเมืองไทย จะมี 7 ห้อง ให้ผู้เข้าไปสัมผัสรับรู้ว่าผู้พิการทางสายตาใช้วิธีการเอาตัวรอดในสังคมได้อย่างไร เขาอาจจะต้องการความช่วยเหลือบ้างแต่พวกเขาไม่ต้องการความสงสารค่ะ
ทั้ง 7 ห้องและมีวัตถุประสงค์คือ (ข้อมูลจาก องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ข้อมูล DID )

1. ห้องแนะนำนิทรรศการ  เป็นพื้นที่เตรียมตัวเข้าชมนิทรรศการ และออกจากนิทรรศการ
2. ห้องนั่งเล่น / (Living room)  ปรับตัวเข้ากับความมืดและเริ่มสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้นำชม และผู้เข้าชมด้วยความไว้วางใจและเป็นกันเอง
3. สวนสาธารณะ/ Park  เปิดประสาทสัมผัสของคุณให้พร้อมและกระตุ้นการรับรู้ของผู้ชม
4. ย่านตลาด / Market  กระตุ้นประสาทสัมผัส รับรู้และจดจำเพื่อสร้างประสบการณ์เดียวกันกับที่คนตาบอดพบในการดำเนินชีวิตประจำวัน
5. ยานพาหนะ/การขนส่ง / Transport เช่น รถตุ๊กตุ๊ก การผจญภัยในชีวิตประจำวันโดยประสบการณ์การเดินทางโดยใช้รถตุ๊กตุ๊ก
6. ห้องเสียง / Music Room ห้องเสียง เพื่อเปิดรับประสบการณ์การรับรู้และความบันเทิงของประสาทสัมผัสในร่างกายทุกส่วน
7. บาร์ / Bar เพื่อสร้างบทสนทนาที่เป็นบทสรุปอันจะเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจระหว่างคนตาบอด และคนตาดี

ก่อนที่จะเขียนถึงประสบการ์และความประทับใจก็ขอให้ข้อมูลกับคนที่อยากไปสัมผัส บทเรียนแห่งความมืดด้วยตนเองว่า นิทรรศการนี้จัดที่ชั้น 5 ของ จามจุรีสแควร์ สามย่าน ราคาเข้าชมผู้ใหญ่ 90 บาท เด็ก/นักเรียน/นักศึกษา 50 บาท แนะนำว่าควรโทรไปจองก่อนนะคะ อย่าจองเล่นๆแล้วไม่ไปนะคะเพราะการเข้าไปสัมผัสจะเข้าได้แค่ครั้งละ 8 คนเท่านั้น คุณจองแล้วไม่ไปมันเสียโอกาสคนอื่นที่เขาอาจจะ walk in เข้าไปโดยบังเอิญได้ค่ะ แล้วถ้าคิดจะพาเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปีเข้าชมต้องระวังนะคะเพราะทางผู้จัดจะพาเด็กไปทดสอบก่อนว่าเด็กกล้าพอไหม เนื่องจากมันมืดสนิทจริงๆ ผู้ใหญ่อย่าง จขบ ยังหวั่นๆเลย ดีนะคะมีเพื่อนไปด้วย  ห้ามนำอุปกรณ์ที่เรืองแสงเข้าไปนะคะ ถ้าใส่แว่นก็ถอดได้เลย เพราะแว่นไม่จำเป็นค่ะ ตอน จขบ ไปก็เอาเก็บไว้ที่ Locker ที่ทาง อพวช จัดเตรียมไว้ให้ ปลอดภัยแน่นอนค่ะ ถอดหมดแว่นตา นาฬิกาข้อมือ โทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าสตางค์  เพราะถ้าคุณทำอะไรหล่นข้างในคุณคงหาไม่เจอแน่ๆค่ะ แล้วถ้าคุณไปทำอะไรให้เกิดแสงคุณจะถูกเชิญออกมาจากนิทรรศการนะคะ
Facebook ของ DID มีข้อมูลกับเบอร์ติดต่อค่ะ เข้าไปหาข้อมูลกันได้เลยนะคะถ้าสนใจ

มาถึงประสบการณ์ที่ จขบ ได้รับ จากการเข้าไปใน บทเรียนในความมืด ด้วยระยะเวลาโดยประมาณ 1 ชั่วโมงนั้น คุ้มมากค่ะ ตอนแรกที่เข้าไปมันจะมืดซะจน จขบ รู้สึกว่ากลัว มันไม่ใช่มืดแบบเวลาไฟดับที่พอ ดวงตาของเราทำความเคยชินแล้วจะพอเห็นอะไรได้บ้าง อันนี้คุณไม่มีโอกาสจะได้ใช้ประสาทสัมผัสของการมองเห็นเลยค่ะ จะได้เรียนรู้ว่าถ้าคุณเกิดเสียการมองเห็นไปคุณจะต้องกลัวการใช้ชีวิตแน่นอนค่ะ คุณไม่สามารถรู้ได้ว่าจะไปทางไหน นี่ขนาดเรามีพี่ไกด์นำ แถมมีเพื่อนร่วมในประสบการณ์ถึง 8 คน รู้ว่าทุกอย่างมันต้องปลอดภัย แล้วคนที่พิการทางสายตาล่ะคะ เขาไม่มีโอกาสได้รู้ว่าที่ที่พวกเขาจะไปจะเจออะไร จะปลอดภัยไหม จะสะดุดล้มไหม จะซ้ายหรือจะขวา ได้รู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นใช้ชีวิตอย่างไรในชีวิตประจำวัน ในเวลา 1 ชั่วโมงมันคงไม่เพียงพอที่จะทำให้เรารับรู้ได้ทั้งหมด แต่ก็ทำให้เราหัดเข้าใจคนอื่นบ้าง อย่าไปรำคาญเกิดเจอพวกเขาเหล่านั้นเข้าไปดูหนังโดยมีคนนั่งข้างๆอธิบายว่าเกิดอะไรกับหนังบ้าง ไปพบความเก่งว่าเขาแยกแบงค์ได้ยังไงกัน แล้วก็ยิ่งเกลียดไอ้พวกเลวๆที่เอาแบงค์ปลอมไปซื้อของหรือแลกจากคนตาบอด เลวมากๆค่ะ มีครบ 32 ยังไม่คิดจะทำมาหากิน (อันนี้ไกด์ไม่ได้เล่านะคะ เพียงแต่นึกไปถึงข่าวที่ได้รับฟังจากสื่อมา)

ท้ายนี้ขอแนะนำให้คุณๆไปสัมผัสประสบการณ์นะคะ อ้อ เราได้ไปดูหนังมาด้วยค่ะ ดูเป็น 3D ด้วย การ์ตูนของ Tim Burton เรื่อง FrankenWeenie หนังก็ Dark ตามสไตล์ ตา Tim แหละค่ะ แต่ตอนจบก็ซึ้งนะคะ คนที่ไปดูด้วยแอบมีน้ำตาไหลด้วยค่ะ ใครเป็นพวกรักสัตว์นี่น่าจะเป็นเหมือนคนที่ไปดูกับ จขบ นะคะ

นี่คือหนังที่ จขบ ไปดูมาค่ะ

40 comments:

  1. นิทรรศการน่าสนใจดีนะคะ. ขนาดแค่ไฟดับเรายังรู้สึกไม่อยากเดินไปไหนเลย. ขนาดสถานที่นั้น คือที่ที่คุ้นเคย เรายังเดินชนโน่นนี่เลย

    ไว้มีโอกาสดีๆ จะไปดูนะคะ.
    หนังเรื่องนี้เราก็เพิ่งไปดูมานะคะ
    ดูไปเราก็คิดถึงแมวที่ตายอะ.
    แต่ไม่บอกนะคะ ว่าร้องไห้เหมือนคนที่จขบ.ไปดูด้วยหรือเปล่า อิอิ

    ReplyDelete
  2. ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ
    นิทรรศการน่าสนใจ ต้องหาทางชวนหนู ๆ ในสังกัดไปดู :)

    BYKT

    ReplyDelete
    Replies
    1. หนูๆ ในสังกัดเลยเหรอคะ รับแมวซักตัวมั้ยคะ :)

      Delete
    2. แมวมา หนูก็ไม่อยู่สิคะ
      ขอไปคิดหาวิธีชวนหนู ไปดูดีกว่า ;)

      bykt

      Delete
    3. ต้องหนูๆด้วยสิคะ จัดทริปเลยไหมคะ 555

      Delete
    4. แมวมา หนูก็วิ่งมาหลบในหัวใจซิคะ มีตั้ง 4 ห้องแนะ ;)

      Delete
    5. @bykt เดี๋ยวนี้สำนวนการเขียนคุณเปลี่ยนไปนะ มีตามหาสาว มีการชวนหนู อะไรประมาณนี้เยอะนะ ติดจากใครมาหรือเปล่า ดูเหมือนไม่ใช่คุณเลยอ่ะ (หรือเราคิดไปคนเดียวเนี่ย)


      @IMM คุณมาบอกรักคุณ bykt ต่อหน้าต่อตาเราเลยนะ เราคุยกับเธอมาตั้งนานยังไม่กล้าบอกเลยอ่ะ (แอบอิจฉา)

      Delete
    6. K.clearsky สงสัยเราจะติดใครมาแน่ ๆ เลยนะคะ มันไม่ใช่ตัวเราเลยซักนิด :P

      BYKT

      Delete
    7. เหรอ เชื่อดีมั้ย 555

      Delete
    8. นั่นซินะ ติดใครมาคะเนี่ย สำนวนแบบนี้. แต่เราว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวของคุณ bykt ก็ได้มั้งคะ. พอเจอแรงกระตุ้นนิดหน่อย ตัวตนที่แท้จริงก็เปิดเผยออกมาไงคะ :p

      Delete
    9. สำนวนยุงบินว่อนนี่ตอนแรกมีอยู่คนเดียว แต่ไหงตอนนี้มีคุณ bykt ร่วมอุดมการณ์ไปด้วยคะเนี้ย

      Delete
    10. ไม่รู้ว่าเป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอ หรือติดสำนวนยุงบินว่อนของคนแถวนี้ ต้องติดตามตอนต่อไป.....แต่ว่าตอนนี้เธอมีศึกหนักของคนข้างล่างเฝ้าบอกรักได้ทุกวัน (ไม่เบื่อกันหรือไงคะ)

      Delete
  3. @k.moonlight หนังเรื่องนี้ เราชอบ คอร์ปไบรด์มากกว่านะ แต่เราดูเป็นแบบสามมิติด้วย หนังดูเจ๋งดีค่ะเรื่องนี้ คิดถึงแมวที่ตาย จะไปทำตามแบบ วิคเตอร์ ให้แมวฟื้นมาไหมล่ะคะ

    @k.bykt น่าสนใจจริงค่ะ พาเด็กไปอย่าลืมดูอายุเด็กก่อนนะคะ 555
    ไป กทม แต่ไม่กล้าชวนหรอกค่ะ ไปกับเพื่อนเดี๋ยวเห็นตัวตนจริงจะกลัว ว่า จขบ
    บ้าเกินที่เขียนให้อ่านอีกเยอะ 555

    ReplyDelete
    Replies
    1. @K.freakysnob เราก็ดูแบบสามมิติคะ ยังไม่เคยดู crop bride นะคะ ไว้จะลองหามาดูคะ ส่วนเรื่องนี้ เราซึ้งตั้งแต่เค้าพูดเรื่องความผูกพันธ์ระหว่างสัตว์เลี้ยงแล้วหละ
      ส่วนเรื่องที่ทำให้แมวฟื้นนะเหรอ ไม่เอาอะ ยังไงเราก็ยังกลัวผีอยู่ดี 555 ให้เค้าไปสบายหละดีแล้วคะ

      Delete
    2. ดูแบบสามมิติ ตอนที่พวกนั้นคืนชีพแอบน่ากลัวเหมือนกันนะคะ คนไปดูด้วยเขากลัวอะค่ะ เรามีสัตว์เลี้ยง แต่เราไม่ได้ผูกพันธ์ขนาดนั้นเลยไม่อินเท่าไรค่ะ

      Delete
    3. เคยมีคนกล่าวไว้ว่า คนที่รักสัตว์มักจะมีจิตใจที่อ่อนโยน

      เราว่าเพื่อนคนนั้นคงเป็นคนที่อ่อนโยน และเซ้นซิทีฟมากแน่ๆเลยคะ

      แต่ตอนที่สัตว์เลี้ยงคืนชีพมาแบบแปลกๆ อะน่ากลัวจริงๆ เหอเหอ

      Delete
    4. เราไม่รักสัตว์ค่ะ 555
      ส่วนเพื่อนคนนั้นไม่รู้เขาเหมือนกันค่ะ

      Delete
    5. คนที่รักสัตว์มักมีจิตใจที่อ่อนโยน 555
      ใครกล่าวไว้เนี่ย

      BYKT

      Delete
    6. งั้นเราก็อ่อนโยนเหมือนกันซิ เราเคยเลี้ยงแมวแล้วหายไปจากบ้าน ร้องไห้เดินตามหาเป็นอาทิตย์แต่ก็ไม่เจอ เลยไม่เลี้ยงอีกเลยค่ะ

      Delete
    7. อ่อนโยนคะคุณ Clearsky คนรักสัตว์เป็นคนที่อ่อนโยนจริงๆคะ :D

      Delete
    8. สงสัยต้องพิสูจน์ว่าอ่อนโยนกันจริงหรือเปล่า แต่ละคนที่ claim ว่ารักสัตว์กันเนี้ย

      Delete
  4. พอเห็นเรื่อง DID ก็นึกถึงโอกาสในสังคมของคนพิการว่า อืม เค้าจะทำมาหากินยังไงนะ. ชีวิตคงลำบากน่าดู.
    ก็เอาใจเขามาใส่ใจเราเน้อ สังคมจะได้ดีขึ้น

    ReplyDelete
    Replies
    1. คุณ แสงจันทร์ เม้นท์นี้มีสาระดีค่ะ ขอร่วมแสดงความเห็นด้วยคน
      น่าเห็นใจคนพิเศษเหล่านี้มาก แค่ไฟดับที่บ้านก็ทนจะไม่ได้แล้ว พวกเขาต้องอยู่กับความมืดไปตลอดชีวิตแล้วยังต้องมีชีวิตอยู่กิน นอน หาเงินเลี้ยงชีพด้วยตัวเองอีก อยากให้สังคมช่วยเหลือพวกเขาให้อยู่สบายอย่าให้ลำบากไปกว่านี้อีกเลย
      ขอบคุณคุณจขบ.ที่มาร่วมกันให้ความเห็นใจแก่คนพิเศษกลุ่มนี้ค่ะ

      Delete
    2. @K.clearsky. เราว่าคนตาบอดเค้าไม่ได้ต้องการความสงสาร. แต่ต้องการโอกาสให้ได้ยืนในสังคมบ้างต่างหาก
      ถามว่าในสังคมนี้จะมีกี่อาชีพที่เค้าสามารถใช้เลี้ยงชีวิตเค้าได้
      ขายล๊อตเตอรี่,คอลเซนเตอร์,วงดนตรี แย่สุดก็ขอทาน
      เป็นกลุ่มที่มีโอกาสทางสังคมน้อยมากด้วยข้อจำกัดทางด้านร่างกาย
      ทำให้เราย้อนมองถึง อนาคตของชาติที่มีครบ 32 บางคน ที่ชอบทำตัวเป็นคนไร้อนาคตจังเลย. ทั้งที่คุณมีของครบทุกอย่างแต่ก็เลือกที่จะทำให้อนาคต มันคดสมชื่อ

      Delete
    3. K.Moonlight เห็นด้วยนะว่า คนตาบอดจะมีอาชีพที่พวกเค้าจะสามารถทำได้ไม่กี่อาชีพ
      แถวบ้านเราจะมีคนตาบอดอาศัยอยู่หลายครอบครัวเลย บางบ้านทำวงดนตรี มีคนตาดี ขับรถไปให้ ขนอุปกรณ์ขึ้นรถ เรายังเคยไปเจอกลุ่มนี้ตั้งวงเล่นดนตรีที่ตลาดมหาชัยเลย แต่บางบ้านจะไปยืนขอทานอยู่แถวท่าน้ำ แถวบ้านบ้าง หรือขึ้นเรือไปแถวสนามหลวง หน้าห้างพาต้า ไปหลายที่
      เราเคยได้ยินเค้าคุยกันนะ บางคนออกไปแค่ครึ่งวัน ก็กลับมาบ้าน พร้อมกับซื้อเหล้า เบียร์มาทานกัน เค้าคุยว่า วันนี้ขอได้เงินเยอะแล้ว ขี้เกียจยืน เราได้ยินก็อึ้งไปกับจำนวนเงินที่เค้าได้ อึ้งกับการใช้เงินของเค้า เท่าที่เราเห็นเค้าจะซื้อเหล้าเบียร์กันทุกเย็น
      แล้วถ้าใครเดินผ่านบริเวณที่เค้ายืนขอทานแล้วไม่ให้เงิน เค้าก็จะว่าด้วย ตอนหลังถ้าเราผ่านจะหาทางเดินเลี่ยง

      ถึงจะบอกว่าให้เงินขอทานเป็นการสนับสนุนคนพิการในทางที่ผิด แต่บางคนก็เลือกที่จะให้ เพราะความสงสาร ให้แล้วสบายใจได้ทำบุญ ต่างคนก็ต่างใจ

      ส่วนอนาคตของชาติ ที่ทำตัวไร้อนาคต มีโอกาสดีกว่าคนอื่นแล้วยังทำตัวไม่เหมาะสม เราว่าสักวันเค้าคงได้รับผลจากการกระทำของเค้านะ

      BYKT

      Delete
    4. เมื่อก่อนเราให้เงินขอทานบ้างนะคะดูพวกคนแก่ ไม่ก็คนที่ไปร้องเพลง
      คือเหมือนเขาพยายามที่จะทำอะไรบ้าง ไม่ใช่เฉยๆก็ขอเงินค่ะ

      Delete
    5. อืม อ่านความเห็นคุณ bykt ก็อึ้งเหมือนกันนะ ตาบอดแล้วยังทำร้ายร่างกายตัวเองด้วยการกินเหล้าอีกเหรอ โชคร้ายที่มีมายังไม่พออีกนะ

      เราก็ชอบทำบุญกับคนตาบอดที่มาร้องเพลงนะ เราว่าน่าสงสารมาก แต่จะเอาเงินไปทำอะไร เราก็ไม่อยากคิด ให้แล้วให้เลยค่ะ

      Delete
    6. เราเห็นด้วยกับคุณ Clearsky นะคะ. ให้ไปแล้วก็อย่าคิดอะไรเลย.
      ซักวันนึงพอเค้าเล่นดนตรีไม่ได้ เค้าก็คงจะรู้สึกตัวมากขึ้น
      ในเมื่อเค้ามีทางเดินในชีวิตแล้ว. แต่เค้าก็ยังเลือกที่จะทำเช่นนั้นก็ปล่อยเค้าไปเถอะคะ

      คนเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายเหลือเกิน. แน่นอนความคิดอ่าน การสู้ชีวิต ก็ย่อมต่างกัน ดังนั้นเจอแบบนี้ต้องปล่อยวางคะ
      เราเชื่อว่าทุกอย่างมีเหตุแล้วก็จะมีผล. ถ้าเค้าใช้ชีวิตแบบนี้ ก็คงเดาผลที่จะเกิดได้ไม่ยากคะ

      Delete
  5. อะแฮ่ม คาดว่างานนี้ยาวววววว

    ขอบคุณเรื่องดี ๆ ที่เล่าสู่กันฟัง เห็นด้วยกับคอมเม้นต์ข้างบน จึงไม่ขอกล่าวซ้ำ(สรุปคือขี้เกียจคอมเม้นต์นั่นเอง เพราะในหัวมีแต่ BYKT หยอดแรก)

    คุณ clearsky ถึงเราจะสาวๆชอบหลายคน ก็แค่ชอบอ่ะ แต่รักนะมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้เองอย่าแอบอิจฉาเราเลย มันเป็นเพียงรักเขาข้างเดียว กระซิก ๆ แต่ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อนได้เลยเนอะ นับอะไรกับใจ BYKT (หยอดนิดนึง) ซักวันจะเป็นรักเราสองข้าง คริ คริ
    เรายังรอชนแก้วกะคุณอยู่เสมอ สักวันหนึ่งมันต้องมาถึงเนอะตัวเอง (แต่ไม่ใช่วันที่เราอกหักจากBYKT แน่ๆ อ //เพราะมั่นใจคุณทำได้ อิอิ)


    คุณ Moonligh ที่ว่า "เคยมีคนกล่าวไว้ว่า คนที่รักสัตว์มักจะมีจิตใจที่อ่อนโยน และเซ้นซิทีฟมากแน่ๆ" เรื่องอ่อนโยนไม่ค่อยแน่ใจ แต่เรื่องเซ้นซิทิฟนี่ มันใช่เลยอ่ะ อย่างล่าสุดคนค้นฅน ตอนน้องฟ้าใส น้ำตาท่วมตั้งแต่เริ่มดูจนจบเลย ช่วงโฆษณาก็มีหยุดบ้าง อิอิ แต่ก็ยังดีที่เห็นรอยยิ้มที่เรานึกถึงคำว่า “ยิ้มของเธอทำให้โลกสดใส” มันเป็นรอยยิ้มของแม่น้องฟ้าใส มันเป็นยิ้มที่ ตอนนี้เราอยากทำให้คุณ BYKT ยิ้มได้แบบนั้นบ้างจัง (แอบหยอดตลอด)
    เราอยากให้น้องหมาทุกตัวของเราฟื้นขึ้นจังเลย มันคงทำให้เราลืมความคิดถึงคุณBYKT ได้บ้าง (ยังจะหยอดอีก)

    คุณ BYKT ค่ะ คนอื่นเราไม่ทราบแต่เราอ่อนโยนกับคนที่เรารักนะ (เช่นคุณไง) ความจริงไม่อยากจะบอกเล้ยว่าฉากแรกนั่นแหละแรงกระตุ้นให้บากบั่นดาวน์โหลดมาแอบดูคนเดียว อิอิ ส่วนคลิปของเยอรมันเราชอบ chocolate เอ้ยไม่ใช่ ชอบ Kritin
    สาว ๆ ในสังกัด อืม จี๊ดเหมือนกันนะนี่ แต่ทำไงได้เรามาทีหลัง คงต้องรักเขาข้างเดียวต่อไป อ๊ากกกกก
    (สู้ต่อไปทาเคชิ)

    คุณจขบ จำได้ว่าเคยดูเหมือนกันนะคะที่เป็นแบบซับอังกฤษ แต่ดูในโทรศัพท์สมัยที่อินเตอร์เนตระบบสัญญาณโทรเลข(เจ๊ย! จะช้าไปไหน) มันก็ชัดเว่อร์ (ประชดน่ะ) พอมีวาสนาได้ใช้สัญญาณ edge (ตอนนั้น3 G ยังติดอยู่แดนปลาดิบ ส่วน ADSL ยังติดสังคมเมือง) ก็ตามหาซับขอมไม่มีเลยต้องโหลด เอามาจิ้นเอง ดีนะที่เลิกเป็นชาว blackjack ไม่งั้นดาวน์โหลดกระจายกว่านี้ แล้วคงไม่ได้มาเจอคุณ BYKT (หยอดอีกนิด)

    for u (BYKT)
    http://www.youtube.com/watch?v=352x-lfXvig

    http://www.youtube.com/watch?v=wo07t6XjNO4


    IMM love BYKT ++

    ReplyDelete
    Replies
    1. @k.BYKT ว้าว ว่าไงดีคะคุณ BYKT นัดเจอกับคุณ IMM เลยดีไหม
      จขบ จะดีใจมากที่บล๊อกนี้เป็นสื่อให้คนได้เจอกัน ;)

      k.IMM เราเคยแว๊ปไปดู สาวคนทำช๊อกโกแลตนิดนึง แต่เราชอบสาว Spanish อย่างคุณหมอ Maca ใน Hospital Central หรือไม่ก็ Pepa กับ Silvia มากกว่าค่ะ

      Delete
    2. ว้าว K.freakysnob จะมาเป็นสื่อรักเหรอคะ. งั้นเราขอเป็นสักขีพยานนะคะ 5555. ล้อเล่นนะคะ

      Delete
    3. แล้วเราจะทำหน้าที่อะไรดีล่ะ งั้นขอแสดงความยินดีด้วยแล้วกันนะ (ทั้งที่ในใจแอบอกหัก อีกแล้วเหรอ อิอิ)

      Delete
  6. k.IMM ขอบคุณสำหรับคลิปนะคะ ไม่ได้ดูมานานแล้ว
    คุณขายทองหยอดอยู่แถวไหนค่ะเนี่ย :P
    ช่วงนี้เราต้องงดของหวาน ผลตรวจสุขภาพ น้ำตาลในเลือดสูงค่ะ

    k.freakysnob นัดเจอกันไม่ได้ง่าย ๆ นะคะ คิวยาวไปถึงปีหน้าแล้ว 555
    เราก็ชอบ คุณหมอ Maca และคู่ Pepa กับ Silvia เสียดายที่ฉากแต่งงานไม่หวาน

    k.Moonlight ไม่ต้องขอ คุณได้สิทธินั้นเดี๋ยวนี้ อิอิ

    BYKT

    ReplyDelete
    Replies
    1. k'bykt คิดได้ไงเนี่ย มุขขายทองหยอด ขำจนน้ำตาเล็ด แต่เธอก็ขยันขายจริงเนอะ

      Delete
    2. เราว่าคุณ IMM ต้องเป็นแม่ค้าขนมหวานแน่เลย อิอิ

      Delete
    3. คุณ จขบ คุณใส่แว่นเหรอ เราจิ้นแก้วไวน์ใส่แว่นไม่ออกเลย อิอิ ล้อเล่นนะ
      เราก็เคยแว๊ปไปดู หมอMaca บ้างเหมือนกัน แต่เราชอบแฟนหมอนะชื่อไรจำไม่ได้ (ชอบเพราะทรงผมถูกใจจ๊อด เวลายิ้มน่ารักด้วย) เพราะเราชอบสาวสไตล์ผมสั้น (ที่ไม่ใช่บ๊อบตรง หน้าม้า) ซะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเรื่องนั้น ก็มานะบากบั่นดูจนจบแหละ เพราะ Silvia สวยกระแทกใจจ๊อด

      คุณ BYKT (my love) คิวยาวจังเลย ไม่รู้จะรอไหวป่าวเรา เง้ออออ มาทีหลังเขาก็งี้แหละ เข้าใจทุกอย่างต้องใช้เวลา แค่อยากบอกว่า I LOVE U น้ำตาลในเลือดสูงไม่เป็นไร เราแค่อยากเติมความหวานให้หัวใจคุณ (ซึ่งหมอไม่น่าจะวัดระดับความหวานได้นะ อิอิ) มันเป็นความหวานตามธรรมชาติ ที่กลั่นมาจากใจของใครคนหนึ่ง ดูคลิปแล้วใช่มั้ย นี่คือเดทแรกของเรานะ อิอิ (มีใครบอกรักก่อนจะเดทเหมือนเราบ้างมั้ย) ต่อไปเราขอเรียกคุณ BYKT ว่า คุณSunshine จะได้พิมพ์ง่ายๆ (ง่ายตรงไหน ย่ะ) ได้ใช่ม่ะ เย้ๆๆๆ I love Sunshine.

      คุณ Moonlight ขอบคุณนะคะ ถึงจะล้อเล่นก็ตาม เราต้องการสักขีพยานเพิ่มอีกคนคือคุณ clearsky (โอม จงมาๆ ๆ) มันจะทำให้ความรัก(ข้างเดียว)ของเราฟินสุด ๆอ่ะ

      คุณ clearsky สะดุ้งบ้างป่าว เจอคาถาเราไป ยังรอชนแก้วต่อไปเหมือนเดิมทุกวันเน้อ มันเป็นการชวนเดทด้วยแอลกอฮอล์ ระหว่างรอคิวจาก คุณSunshine (ชุ๊วว อย่าเอ็ดไปนะ เดี๋ยวคุณ Sunshine รู้)

      I love u …now and forever

      IMM love Sunshine+++

      Delete
    4. วันนี้เราเจอกันแล้ว พร้อมจะชนหรือยังคะ แต่ขอบอกว่าเลี่ยนอย่างแรงเลยอ่ะตัวเอง

      เราว่าคุณแสงจันทร์ผู้รักสัตว์ของเราเน่าเว่อร์แล้ว คุณยิ่งกว่าอีกสิบเท่า งานแต่งของคุณเราไม่ไปนะ (กลัวมดกัดหัวใจ อิอิ)

      Delete
    5. เอ่อ คุณ Clearsky คะ แหมมีอ้างอิงความเน่าด้วยเหรอคะ เอ่อ แต่เรายอมยกธงขาวนะคะ แบบดูท่าทางแล้วดีกรีความเน่าของเราคงสู้คุณ IMM ไม่ได้แน่ๆ เลย
      เอ่อ เน่าจริง ๆ คะ เอ่อ คุณ IMM ก่อนจะมาตอบ entry นี้ คุณซัดแอลกอฮอล์มากี่แก้วแล้วคะเนี่ย ตอนนี้คุณ Sunshine คงนอนสะดุ้ง เพราะความหวานตามธรรมชาติของคุณแล้วมั้งคะ

      Delete
    6. อะไรคุณแสงจันทร์ยังไม่นอนอีกเหรอคะ แปลกใจมากเลยมาคุยเป็นเพื่อนเรา ส่วนอีกสาวบอกจะชนแก้วกับเราคงหลับไปซะแล้ว มัวแต่ขายขนมทองหยอดอยู่หมดแรงซะแล้ววว

      จริงด้วยคุณแสงจันทร์เขียนได้ซะขนาดนี้ เมาแล้วมั้ง คุณ bykt ของเราคงเอาไปหลับฝันหวานหรือไม่ก็ฝันร้ายแล้วป่านนี้ 555

      Delete
    7. @k.IMM เราใส่แว่นมาตั้งแต่ ม.4 ไม่ใช่แบบเรียนหนักอะไร น่าจะเพราะอ่านการ์ตูนกับอ่านนิยายมากกว่าค่ะ ส่วนแก้วไวน์ใส่แว่น 555 อย่างเราคงไม่ใช่ค่ะ

      Delete