Thursday 12 May 2016

Shoes Does Matter!




วันนี้มีเรื่องเล็กๆน้อยมาเล่าให้ฟังค่ะ ก่อนอื่นเลยข่าวนี้เป็นที่ต้องตาของเราเพราะหน้าข่าวของ BBC เป็นรูปผู้หญิงคนนี้ ก็นะอย่างแรกหน้าตาดีเนื้อหาข่าวก็น่าสนใจตามไป


หัวข้อข่าวของ BBC คือ “London receptionist 'sent home for not wearing heels'” สรุปจากหัวข้อคือรีเซฟชั่นสาวในลอนดอนโดนสั่งให้กลับบ้านไปเพราะไม่ยอมใส่รองเท้ามีส้น  พออ่านหัวข้อนี่ก็สนใจขึ้นมาเลย
Nicola Throp ไปทำงานเป็นพนักงานชั่วคราวที่ PWC บริษัท 1 ใน big 4 ของบริษัทตรวจสอบบัญชีของโลก หน้าที่ของเธอคือการพาลูกค้าที่มาติดต่อจากหน้าแผนกต้อนรับไปยังห้องมีตติ้ง ระยะเวลาการทำงานต่อกะคือ 9 ชั่วโมง ที่ PWC ให้ชุดยูนิฟอร์มเธอมาใส่เป็นเดรสและสูททับ แต่เมื่อเห็นว่าเธอใส่รองเท้าไม่มีส้น บอกว่าเธอต้องใส่รองเท้ามีส้น 2-4 นิ้ว ไม่งั้นก็จะส่งตัวกลับบ้านโดยไม่จ่ายค่าจ้าง แล้วเธอก็หันไปเห็นพนักงานต้อนรับชาย เธอก็เลยถามเจ้าหน้าที่ PWC ว่าทำไมพวกเขาไม่ต้องใส่รองเท้ามีส้นล่ะ รองเท้าของเธอก็ไม่ได้ไม่สุภาพอะไรสีดำแค่ไม่มีส้น ในที่สุดเธอก็ถูกส่งตัวกลับบ้านโดยไม่ได้รับเงินค่าจ้าง

เธอเลยสร้าง “คำร้อง” (
petition) Make it illegal for a company to require women to wear high heels at work ตอนนี้มีคนลงชื่อ 80,000 กว่ารายชื่อแล้ว นิโคลาหวังว่าจะมีรายชื่อเกิน 100,000 รายชื่อทางสภาจะได้เอาเรื่องนี้เข้าอภิปราย

ส่วนทาง PWC ให้สัมภาษณ์ว่าทางบริษัทรับรู้เรื่องนี้เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ที่ผ่านมา 5 เดือนหลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แต่ข้อกำหนดนี้ไม่ได้มาจากทาง PWC เป็นข้อกำหนดของทางซัพพลายเออร์ (เอเจนซี่ที่หาพนักงานชั่วคราวมาทำงาน) ตอนนี้ทาง PWCก็กำลังคุยกับทางซัพพลายเออร์ถึงเรื่องนี้อยู่
เราว่าบางทีบริษัทไม่ว่าใหญ่หรือเล็กก็ชอบมีกรอบความคิดยัดใส่ว่าผู้หญิงต้องทำอย่างนี้ๆ มันต้องมีอะไรปรับปรุงกันบ้าง อย่างเช่นกรณีนี้เป็นต้น ทำไมต้องใส่ส้นสูงถึงดูสุภาพ? แล้วผู้ชายใส่ไม่มีส้นแล้วสุภาพล่ะ it's a man's world เกินไป ว่าแต่บริษัทในไทยมีกฎโง่ๆอันนี้ไหม

จบกันไปแบบห้วนๆอย่างนี้แหละ เรื่องนี้ใกล้ตัวเรามากเพราะเราไม่ใส่รองเท้ามีส้น คุณๆล่ะคะ?

Sunday 8 May 2016

The Virginity Hit โดย Flynn Rider



ช่วงนี้อัพบล็อกถี่หน่อยนะคะ เนื่องด้วยมีวันหยุดหลายวันนั่งชิลๆ ไม่มีอะไรทำก็คิดไว้ว่าจะเขียนอะไรลงบล็อกดี ที่จริงถ้าเขียนตามที่คิดทั้งหมดนี่อาจจะเขียนได้ทุกวัน แต่เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ เรื่องกรี๊ดกร๊าดสาวๆ เรื่องหงุดหงิด แต่ในที่สุดก็ไม่ได้เขียนเพราะขี้เกียจ ไม่ก็เขียนแล้วเริ่มแล้วแต่เขียนไม่จบ เกริ่นมาซะนาน เพิ่งอ่านนิยายเรื่องนี้จบค่ะ ใช้เวลาอ่านเยอะกว่าเล่มอื่นทีเดียว ไม่ใช่ไม่สนุกหรืออ่านยากแต่ไม่มีเวลาที่จะตะลุยอ่านแบบรวดเดียวจบ
เรื่องย่อ
"โคลอี เกรซ เธออายุ 24
จมูกของเธอดีและตอนนี้เธอกำลังได้กลิ่นอะไรแปลกๆ
กลิ่นแรกคือกลิ่นหนุ่มเลือดใหม่อันตราย
กลิ่นสุดท้ายเป็นกลิ่นที่สดใหม่และหอมหวานมากกว่านั้น

จากโจ๋อเมริกันอวดดีที่บินลัดฟ้าจากอเมริกา
มาเติบใหญ่ในเมืองใหม่ใจกลางกรุงลอนดอน

ใครคือหมาป่า ใครยังเวอร์จิ้น?
และใครกันที่จะมาพรากพรหมจรรย์?

แล้วใครกันคือสาวอเมริกันผู้ดูเหมือนจะหลงทาง..."
ถ้าใครยังไม่อยากโดน spoiled ว่าสาวอเมริกันคือใคร ก็กดปิดหลังจากจบย่อหน้านี้นะคะ เราแค่อยากจะบอกว่าถ้าเชื่อว่านิยายที่เราแนะนำมาบ้าง อ่านแล้วรสนิยมในการอ่านคล้ายๆกับเรากดโหลดฟรีมาอ่านเถอะค่ะ ไม่เสียเวลาเปล่าแน่นอน เรื่องนี้นักเขียนใจดีให้โหลดอ่านฟรีทั้งๆที่เราว่าสมควรจะขายมากกว่า อ่านง่ายกว่า 2 เรื่องก่อนอ่านสบายๆ แล้วเมื่ออ่านแล้วชอบอย่าลืม กดซื้อ Twin Flame ด้วยนะคะ ถือว่าส่งเสริมให้นักเขียนยูริดีๆมีเงินเข้ากระเป๋าบ้าง ร่ายมายาว ย้ำเนื้อหาต่อไปจะมีการเปิดเผยเนื้อหาของนิยายบ้างแต่ถ้าไม่แคร์ก็อ่านต่อค่ะ
^
^
^
^
^
^
^
^
^
^
^
^
^
^
^
อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น ว่านิยายเรื่องนี้อ่านง่ายอ่านสบายกว่าเรื่องก่อนๆของ Flynn ไม่ได้ใส่รายละเอียดของตัวละครอื่นซะจนคนอ่านเข้าใจว่าสรุปนี่เรื่องของใคร แถมใครที่เคยอ่าน Sweet Snare มาอ่านแล้วรำคาญน้องหนูซาราห์ เด็กอะไรน่าเอาอะไรไปตีก้น แบบสั่งสอนให้ประพฤติตัวดีๆ นี่ลืมความเฮี้ยวเกเรของเธอไปได้เลย อ่านแล้วหลงรักซาราห์กันทีเดียว ส่วนโคลอี้เราก็ชอบที่เขียนบรรยายให้เธอเป็นคนพูดเพราะ แม้จริงๆถ้านึกไปถึงว่าโคลอี้จะพูดยังไงในภาษาอังกฤษแบบ คะ ขา  

The Virginity Hit อ่านแล้วต้องขอชมที่คนเขียน เขียนเอาเรื่องการเมืองในที่ทำงานมาผสมกับความรักของ 2 สาวได้อย่างน่าสนใจ ออกจะเด่นกว่าความรักของซาราห์กับโคลอี้ด้วยซ้ำ อ่านแล้วนึกถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่ยังไม่พร้อม อเล็กซ์ ครอส ทำให้เรานึกถึงพวกผู้บริหารวัยรุ่นสมัยใหม่ที่พยายามเปลี่ยนแปลง เป็นฮิปสเตอร์ที่ไม่รู้จัก compromise ถือว่าตัวเองดีเก่ง แล้วในที่สุดก็มีจุดจบอย่างที่เห็น ส่วน จูเลีย ก็แสดงให้เห็นว่าเมื่อยามรักน้ำต้มผักยังหวาน อย่าทำให้ผู้หญิงโกรธ แค่สอยไว้ใช้นั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ดี และที่สำคัญที่สุดคนที่เกลียดขี้หน้ากันเมื่อยามได้เคลียร์ปัญหากันแล้วเราก็ได้เปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตรที่ดี เช่น แอมเบอร์กับจูเลีย  เราชอบแอมเบอร์ไม่อยากให้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเพราะโคลอี้กับซาราห์ต้องมีเพื่อนตัวป่วนอย่างเธอ ไม่มีเธอเรื่องนี้คงขาดสีสันไปเยอะ
จริงๆยังมีเรื่องที่น่าสนใจในเล่มนี้อีกเยอะ แต่ถ้าพิมพ์หมดก็จะยาวไป ใครชอบอะไรก็มาแชร์กันได้นะคะ  อ่านจบเรื่องนี้ก็อย่าลืมซื้ออีกเล่มนะคะ จะได้รู้ว่ากีอันนากับโซฟีเป็นไง หรือถ้าคิดถึงสาวขบถหัวแดงกับเอ็มก็มีให้อ่านด้วย แถมมีฉาก NC แบบละเอียดใครชอบอ่านแล้วจินตนาการบรรเจิดอันนี้ Recommended กันเลยทีเดียว

มาต่อด้วยว่าเวลาเราอ่านนิยายเรามักจะจินตนาการตัวเอกไม่ก็เพลงสำหรับนิยายที่อ่าน เช่นเรื่องนี้ เราว่าเพราะไปปารีสด้วย ก็คิดเออสมควรเป็นเพลงรักฝรั่งเศส แล้วเราก็นึกถึงเพลงนี้ Je t'aime moi non plus ร้องโดย Jane Birkin (ดาราชาวอังกฤษตอนสาวๆสวยมากเชิญไปเสริชกันเอาเอง แล้วชื่อเธอก็นี่แหละรุ่นกระเป๋า Birkin ของ  Hermès)
เพลงนี้มีที่มาที่ไปน่าสนใจมาก แนะนำว่าใครอยากอ่านเกร็ดเล็กๆน้อยไปเสริชอ่านเลยค่ะ คนแต่งแล้ว Duet กับเจน ก็คือ  Serge Gainsbourg    


คราวนี้พอเราฟังเพลงเราก็นึกไปถึงลูกสาวของ Jane กับ Serge คือ Charlotte ที่เราคิดว่าอิมเมจของ ซาราห์คือเธอก็ได้นะ เท่มากแม้จะวัยเลข 4 ไปแล้วก็ตาม ให้ย้อนไปดูตอนชาลอตสาวๆเอาเอง แถมเพลงนี้เราว่าเหมาะกับอดีตสาวเฮี้ยวจากฟิลลี่ “Terrible Angels


โอ๊ยยาวมากใครอ่านจบมารับรางวัลลูกอมหนึ่งเม็ดค่ะ

Thursday 5 May 2016

The Mask That Falls Off โดย THEK34




นิยายอีกหนึ่งเรื่องที่เราเคยอวยไว้ ถ้าใครเคยตามอ่านบล็อกของเราคงอ่านที่เราได้แนะนำไว้เมื่อหลายเดือนมาแล้ว
เรื่องระหว่าง ออลลี่ โอลิเวียร์ สมิธ ดาราสาวสวยหุ่นนางแบบ ผู้ที่เย่อหยิ่งในสายตาบุคคลภายนอก กับ พิมพ์เนตร ผู้จัดการส่วนตัวดาราจำเป็นเพียงเพราะเธอตกลงมาช่วยดูแลน้องสาวตัวเอง แล้วอุบัติเหตก็ทำให้เธอต้องมาช่วยดูแลออลลี่อย่างจำใจ ใครจะอยากทำงานกับสาวที่เจอกันครั้งแรกก็ไม่ถูกชะตากันเสียแล้ว
ถ้าใครเคยอ่านในเด็กดีแล้ว ก็นั่นแหละค่ะเรื่องเดียวกัน ข้อดีคือนักเขียนใช้ภาษาได้ดีมาก บรรยายเห็นภาพ ทำให้คนอ่านหลงรักออลลี่กับพี่พิมพ์ได้ไม่ยาก ฉาก NC ก็บรรยายได้ดี แม้ตัวเรื่องจะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ ส่วนถ้ามีคำถามว่าถ้าเคยตามอ่านจนจบแล้วแบบรวมเล่มมีอะไรเพิ่มขึ้นมาไหม ก็ไม่ค่ะ เพิ่มมาประมาณ 20 หน้า เป็นเรื่องของคู่รองเสียครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าใครอยากมีฉบับเต็มไว้อ่านก็แนะนำค่ะซื้อเลยเพราะเหมือนคนเขียนจะลบไปจากเด็กดีแล้ว 


เพลงนี้ดูเหมาะกับเรื่องนี้ไม่รู้ทำไม จริงๆแค่อยากโพสเพลงก็ได้ 
 
คราวนี้มาถึงเรื่องที่เราหงุดหงิดกันบ้างนะคะ คือ หนังสือเล่มนี้ตอนแรกเราช่างใจอย่างมากว่าจะซื้อดีไหมแม้เราจะชอบและติดตามมาตลอด ด้วยราคาที่จัดว่าสูงเมื่อเทียบกับหนังสือสำนักพิมพ์อื่น ตอนที่นักเขียนบอกว่าจะทำเป็นเล่ม เราได้ถามไปว่าจะทำเป็น
e-book ไหม เขาก็ตอบกลับมาอย่างหนักแน่นว่าไม่ทำเป็น e-book แน่ๆเพราะกลัวโดน plagiarism copy ก็ว่ากันไปเราก็บอก meb ไง ก็ไม่โอเค เรายอมรับการตัดสินใจ ในที่สุดเราก็ตัดสินใจสั่งซื้อแบบเล่มไป คราวนี้เราจะไม่พูดถึงราคาเพราะเราตัดสินใจสั่งซื้อไปเอง แต่ปรากฏว่าเราเปิดไปเจอเรื่องนี้ลงขายใน meb ก่อนที่หนังสือจะถึงเราเสียอีก เรารู้สึกว่าเป็นการหักหลังอย่างร้ายกาจ แถมราคาที่ขายคือ 199 บาท ลดไป 55% ได้แต่ หึหึ ในใจ ถ้าเราไม่ได้ถามว่าไม่ลง meb แน่นะคะ เราจะไม่รู้สึกแย่ขนาดนี้ บล็อกนี้นี่ตั้งใจมาเขียนเพราะเรื่องนี้เลย ดูอาฆาตเนอะจริงๆคือไม่หรอกแต่อยากบอกว่าถ้าใครหลงเข้ามา อย่าทำอย่างนี้อีกนะคะ คุณจะเสียแฟนหนังสือไปแน่ๆ


บล็อกหน้าถ้าไม่ขี้เกียจจะเขียนถึงนิยายอ่านฟรีของ Flynn Rider ค่ะ