Monday 7 December 2015

Gayby Baby



Gayby Baby

ได้มีโอกาสดูหนังสารคดีจากออสเตรเลียเรื่อง “Gayby Baby” ถ้าดูแต่ชื่อเรื่องหรือเห็นคนที่มาโปรโมต อาจจะคิดว่าเป็นหนังเพื่อสิทธิของชาว LGBT แต่เราว่าถ้าได้ไปดูจริงเราว่ามองไปในประเด็นของเด็ก ไปดูความบริสุทธิ์ของเด็กน่าสนใจกว่าเยอะเลยค่ะ เด็กเหล่านี้ถูกเลี้ยงมาด้วยความรัก ความมีวินัย เลี้ยงดูด้วยเหตุผล ดูแล้วสะท้อนถึงเด็กในสังคมไทยได้
ก่อนจะพูดถึงความดีงามของสารคดีเรื่องนี้ เราขอพูดถึงว่ารู้สึกดีใจที่มีคนไปดูเยอะพอสมควร แม้จะมีรอบเดียวในวันธรรมดา จากการคาดคะเนคร่าวๆคงมีคนดูประมาณเกินครึ่งโรงเล็กน้อย ที่นั่งแถวบนสุดก็เต็มทุกที่นั่ง อยากให้คนไทยหันมาดูหนังนอกกระแส หนังสารคดีกันเยอะๆค่ะ ทางโรงหนังจะได้เอาหนังดีๆไปฉายที่โรงอื่นบ้าง ไม่ใช่ต้องมาที่ CTW เท่านั้น หลายคนคงไม่สะดวก แถมหนังฉายรอบดึกกว่าหนังจะจบการเดินทางกลับบ้านสำหรับคนไม่มีรถยนต์ส่วนตัวก็ลำบากแน่นอนค่ะ

Gayby Baby สารคดีที่ตามถ่ายทำเด็ก 4 คน ได้แก่ Gus, Ebony, Matt และ Graham คือทั้ง 4 คนนี้เป็นเมนหลัก แต่ยังมีเด็กคนอื่นๆอีก เด็กทั้ง 4 นี้อยู่อาศัยและเลี้ยงดูในครอบครัว GAY/Lesbian คู่ชาย/ชาย และ คู่หญิง/หญิง ใช้เวลาในการถ่ายทำทั้งหมด 3 ปีครึ่ง แถมหนังเรื่องนี้กำกับโดย Maya Newell เธอก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยคู่รักชาวเลสเบี้ยน  โดยที่เธอเห็นว่ามีการถกเถียงกันอย่างหนักในออสเตรเลียว่าจะให้มีการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันอย่างถูกกฎหมายไหม โดยการถกเถียงได้มีเสียงสำคัญที่ตกสำรวจไป คือ เสียงของเด็กเหล่านี้ Maya จึงอยากนำเสนอให้คนอื่นได้รับรู้ด้วย

Gus เด็กชายผู้ชื่นชอบมวยปล้ำมากผู้มีหน้ากาก Rey Mysterio กัสอาศัยอยู่กับแม่ทั้งสองคนกับน้องสาวชื่อรอรี่ย์ กัสบอกว่าเขาไม่เข้าใจหรอกว่าอะไรคือ “แมน แมน ความเป็นชายนั้นเป็นอย่างไรกันแน่” กัสบอกว่าเมื่อก่อนเขาชอบเล่นอะไรฟุ้งฟริ้งก่อนที่จะมาบ้ามวยปล้ำ แต่กัสแสดงความเป็นสุภาพบุรุษตัวน้อยให้เราเห็น หลังจากที่แม่ห้ามไม่ให้เล่นมวยปล้ำกับน้องสาวแรงๆ ห้ามทำรัดคอน้อง แทนที่จะต่อยกันให้จั๊กกะจี้น้องแทน แล้วกัสก็ทำตามเพื่อจะได้เล่นกับน้องได้ แสดงถึงความรักน้องยอม compromise คือนึกถึงตัวเองสมัยเด็กๆเล่นมวยปล้ำกับญาตินี่ไม่มียอมกันหรอก ไม่ใครก็ใครได้ร้องไห้ จนต้องถูกตีกันเรียงตัว  เราชอบที่แม่บอกกัสว่าคนขายไม่มีสิทธิ์ห้ามลองลิปสติก กัสไม่ได้เอามาเล่นเละเทะ กัสเอาตัวทดลองมาทาปากแต่คนขายบอกว่าอย่าเอามาเล่น แม้คนขายจะพูดลงท้ายด้วยคำว่า PLEASE ก็ตาม แสดงว่าคนเรายังถูกครอบงำว่าลิปสติกนั้นเป็นของผู้หญิงผู้ชายไม่ควรใช้

Ebony เด็กสาวผู้รักการร้องเพลง อาศัยอยู่กับแม่ๆและน้องชายทั้ง 2 อีโบนี่กำลังพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะสอบเข้าโรงเรียน New High เพราะแม่เธอบอกว่าถ้าเข้าโรงเรียนนี้จะไม่มีใครสนใจว่าบ้านเธอนั้นมีแม่ 2 คน ไม่เหมือนโรงเรียนแถวบ้าน แม่เธอพยายามอย่างมากส่งเธอเรียนพิเศษฝึกร้องเพลง บ้านเธอไม่ได้มีเงิน เพราะน้องชายคนเล็กเป็นโรคลมบ้าหมู (ซึ่งไม่รู้ว่าสรุปเป็นโรคอะไรกันแน่) ต้องมีแม่คนหนึ่งคอยดูน้องตลอดเวลาจึงออกไปทำงานไม่ได้ แล้วการที่เธอไปเรียนร้องเพลงนี้ทำให้น้องชายคนรองไม่ได้ไปเรียนคาราเต้ เพราะแม่เอาเงินมาลงเดิมพันกับเธอหมด เราว่าครอบครัวนี้ก็แสดงถึงความพยายามของผู้ปกครองที่อยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุด ก็เหมือนพ่อแม่คนไทยนั่นแหละได้เรียนโรงเรียนดีเพื่อนดีหวังว่าผลลัพธ์ภายหน้าก็จะดีไปด้วย แต่สิ่งที่เราไม่ค่อยถูกใจครอบครัวนี้คือ จะมีลูกเยอะไปกันทำไมคะมีแล้วต้อง struggle ในการเลี้ยงดู คิดดูนี่ขนาดอยู่ในประเทศที่รัฐให้เงินค่าเลี้ยงดูยังลำบาก มีลูกคนสองคนก็น่าจะพอแล้ว นี่มี 3 คน (ในหนัง แถมพอมาหาข้อมูลตอนนี้มี 4 คนค่ะ) ท้ายนี้ก็เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวเราเฉยๆนะคะ
Matt หนุ่มน้อยผู้มีความคิด อาศัยอยู่กับแม่กับแฟนของแม่ พ่อกับแม่ของแมทหย่ากัน ชื่นชมที่เด็กอย่างแมทเข้าใจไม่เกลียดแฟนของแม่ เขาบอกว่ารู้สึกขอบคุณที่ Louise ดูแลทำอาหารให้เขาทำให้มากกว่าญาติเสียอีก แมทยังมีความคิดเรื่องศาสนาเขาไม่เข้าใจแม่ว่าจะไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ทำไม ทั้งๆที่พระเจ้าบอกว่ารักร่วมเพศนั้นผิด แต่แมทก็ยอมที่จะศึกษาไบเบิ้ลก่อนตัดสินใจว่าจะนับถือศาสนาไหม แมทและครอบครัวมีโอกาสได้เจอนายกรัฐมนตรี(ขนะนั้น) จูเลีย กิลลาร์ด เพื่อจะได้พูดคุยกันเรื่องกฎหมายให้คนเพศเดียวกันแต่งงานกันอย่างถูกกฎหมาย

Graham เด็กชายผู้อาศัยอยู่กับพ่อ/พ่อและพี่ชาย แกรห์มมีปัญหาเรื่องการอ่าน เขาพูดไม่ได้เพราะบ้านเขาใช้ภาษามือ จนเมื่ออายุ 5 ขวบพ่อเขารับเขามาเลี้ยงดูจาก Foster House ถึงได้มีการฝึกพูดอ่านเขียนอย่างจริงจัง เราชอบที่พ่อเขามีความพยายามและใส่ใจ คอยให้กำลังใจช่วยสอนการบ้านทุกวัน บ้านนี้แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ทุกที่ในโลกจะเปิดประตูยอมรับคนรักเพศเดียวกัน พ่อเขาต้องย้ายไปทำงานที่ฟิจิ เด็กๆไม่สามารถบอกใครๆได้ว่าเขามีพ่อ 2 คน บอกได้แต่ว่าอีกคนเป็นคนดูแลเด็กๆ เพราะพ่อๆไม่รู้ว่าสังคมจะยอมรับได้ขนาดไหน

ดูหนังเรื่องนี้แล้วได้อะไร ได้รับรู้ว่าเด็กไม่ว่าจะเลี้ยงด้วยครอบครัวคู่รักช/ญ ช/ช ญ/ญ ก็เป็นคนดี น่ารัก มีเหตุผลได้ เพียงแค่คนที่เลี้ยงเป็นคนดีเลี้ยงพวกเขาอย่างดี ในทางกลับกันถ้าคนเลี้ยงเลี้ยงไม่ดี เลี้ยงให้เป็นเด็กเกเร เด็กก็เป็นผ้าขาวผู้พร้อมที่จะไม่ดีเพราะซึมซับสิ่งไม่ดีจากคนเลี้ยงมาก ฉะนั้นอย่าเอาคำว่าเด็กมาเป็นข้ออ้างในการไม่ให้การแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกันอย่างถูกกฏหมายเกิดขึ้น เพียงเพราะว่ากลัวว่าเด็กจะโตมาอย่างไร ไอ้พวกเด็กเลวๆเหลือขอเต็มไปหมดนี่ไม่ได้เกิดจากครอบครัวชาย/หญิงที่คนมองว่าปกติหรือ
ท้ายนี้ใครอยากดูรูปเด็กๆที่โตแล้วสามารถดูได้ตาม Link เลยค่ะ เสียดายไม่มีรูป แกรห์ม
ส่วนใครสนใจอยากดูเห็นว่าทาง Documentary Club จะทำ DVDs ออกมาประมาณเดือนกุมภาพันธ์นะคะ

3 comments:

  1. มนุษย์มักจะมองแค่กรอบที่ตั้งกันมาเรื่องเพศ เพศ ญ คู่กับ ช
    ตามหลักการสืบพันธุ์ของมนุษย์. ซึ่งก็ถูกตามหลักการสืบพันธุ์ เพื่อดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ของมนุษย์

    แต่ถ้าลองถอยออกไปให้กว้างขึ้น ลองปิดคำว่าเพศ. แล้วมองเห็นถึงคำว่า "รัก"
    "รัก" ทำให้เกิด "ครอบครัว"
    "ครอบครัว" ก็คือการที่มีบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
    หากมองแค่นี้. ทุกๆ คนก็ปกติ เป็นคนเหมือนๆ กัน มีความรัก มีความชั่ว ฯลฯ เหมือนๆ กัน

    แล้วจะแบ่งแยกคำว่า "ปกติ" ไว้ใช้สำหรับคู่รักต่างเพศเพื่ออะไร.
    แล้วจะแบ่งแยกคำว่า "ไม่ปกติ" ไว้ใช้กับคู่รักเพศเดียวกันเพื่ออะไร

    ในเมื่อทุกๆ คนก็มีสิทธิ์เป็นคนดี. เป็นคนเลว
    มีสิทธิ์เลี้ยงลูกได้ดี. เลี้ยงลูกได้แย่ ไม่ต่างกัน

    อย่าเอาคำว่า "ไม่ปกติ" มาเพิ่มเพื่อให้ดูแย่ลง และสร้างความชอบธรรมที่ปกติให้คู่ที่สังคมมองว่าปกติเลย

    ถ้าคนส่วนใหญ่ในสังคม ใจกว้างหน่อย ปล่อยคำว่าเพศที่แบกถือกันมา.
    เราว่าสังคมมันคงจะน่าอยู่ขึ้นเยอะเลย

    โดยส่วนตัวของเรา. เราเฉยๆ กับการมีลูกนะ อาจเป็นเพราะสังคมมและคนรอบข้างยังไม่เปิดในเรื่องคู่เพศเดียวกัน. คือไม่รู้อีกกี่ปี กี่ชาติจึงจะเปลี่ยนมายอมรับ. แล้วถ้ามีลูก และสร้างครอบครัวในสังคมแบบนี้. สังคมที่มองพวกเราเป็นพลเมืองชั้น 2 รับได้ว่ามีตัวตน แต่ไม่ยอมรับให้มีสิทธิ์เท่าเทียม เราว่าอยู่กันแบบเงียบ ๆ 2 คน น่าจะดีกับสภาพจิตใจของเรามากกว่า

    เมื่อวันก่อนเราขับรถผ่านคาบาเร่ต์. อืม คนก็ยอมรับ ดูสนุกสนาน ไม่ได้รังเกียจอะไร
    แต่มันคงเป็นได้แค่นั้นละมั้ง. รับได้แค่ให้สร้างเสียงหัวเราะ ตัวตลก งานการแสดง

    แต่จะมีใครเปิดโอกาสที่มากกว่านั้นหรือไม่. ทั้งในแง่การงาน. และการใช้ชีวิต

    เคยได้ยินมั้ยคะ ที่ข้าราชการใหญ่ๆ. ที่จำเป็นต้องแต่งงาน. เพื่อให้ได้เลื่อนตำแหน่ง. เพราะเข้าเกณฑ์ของคำว่าปกติในสังคม

    เห็นแล้วก็อนาถใจนะคะ. ที่เขามองข้ามความสามารถ. แต่กลับไปเน้นในเรื่องภาพลักษณ์ตรงนั้น

    ปล. เราชอบ Matt นะคะ หล่อดี:D

    ReplyDelete
    Replies
    1. เรื่องข้าราชการนี่ ได้ยินมานานค่ะ ที่บ้านมีคนเ็นพวกผู้พิพากษาสมทบก็เล่าให้ฟังค่ะ
      เรื่องประเด็นระหว่งคนที่คิดว่าตัวเองปกติคือคิดว่า straight คือปกติเนี้ยเราจะเปลี่ยนไม่ได้เลยคนพวกนี้ อีกประเด็นที่น่ากลัวคือคนที่คิดว่าเพื่อนเป็นเกย์เป็นเลสโอเค แต่เมื่อมาเป็นคนในครอบครัวแล้วไม่โอเค คนพวกนี้ก็น่ากลัวนะคะ ชีวิตคนเราเราเชื่อในความรักของบุคคลค่ะ ทุกคนรักกันได้หมด เกย์กับเลสก็อาจจะรักกันได้

      น้องแมทโตแล้วไม่หล่อเท่าเดิมเสียงแตกหนุ่มมากเลย แต่ความคิดดีเหมือนเดิม

      Delete
    2. น่ากลัวจริงนะในประเด็นนั้น คนไกลตัวรับได้ แต่คนใกล้ตัวรับไม่ได้

      ความรักเกิดขึ้นระหว่างคน 2 คน ที่รักกันและเข้าใจกัน มองแค่นี้ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นแล้วค่ะ

      Delete