Gayby Baby
ได้มีโอกาสดูหนังสารคดีจากออสเตรเลียเรื่อง
“Gayby Baby” ถ้าดูแต่ชื่อเรื่องหรือเห็นคนที่มาโปรโมต
อาจจะคิดว่าเป็นหนังเพื่อสิทธิของชาว LGBT แต่เราว่าถ้าได้ไปดูจริงเราว่ามองไปในประเด็นของเด็ก
ไปดูความบริสุทธิ์ของเด็กน่าสนใจกว่าเยอะเลยค่ะ เด็กเหล่านี้ถูกเลี้ยงมาด้วยความรัก
ความมีวินัย เลี้ยงดูด้วยเหตุผล ดูแล้วสะท้อนถึงเด็กในสังคมไทยได้
ก่อนจะพูดถึงความดีงามของสารคดีเรื่องนี้
เราขอพูดถึงว่ารู้สึกดีใจที่มีคนไปดูเยอะพอสมควร แม้จะมีรอบเดียวในวันธรรมดา
จากการคาดคะเนคร่าวๆคงมีคนดูประมาณเกินครึ่งโรงเล็กน้อย
ที่นั่งแถวบนสุดก็เต็มทุกที่นั่ง อยากให้คนไทยหันมาดูหนังนอกกระแส
หนังสารคดีกันเยอะๆค่ะ ทางโรงหนังจะได้เอาหนังดีๆไปฉายที่โรงอื่นบ้าง
ไม่ใช่ต้องมาที่ CTW เท่านั้น
หลายคนคงไม่สะดวก
แถมหนังฉายรอบดึกกว่าหนังจะจบการเดินทางกลับบ้านสำหรับคนไม่มีรถยนต์ส่วนตัวก็ลำบากแน่นอนค่ะ
Gayby Baby สารคดีที่ตามถ่ายทำเด็ก
4 คน ได้แก่ Gus, Ebony, Matt และ Graham คือทั้ง 4 คนนี้เป็นเมนหลัก แต่ยังมีเด็กคนอื่นๆอีก เด็กทั้ง 4
นี้อยู่อาศัยและเลี้ยงดูในครอบครัว GAY/Lesbian คู่ชาย/ชาย
และ คู่หญิง/หญิง ใช้เวลาในการถ่ายทำทั้งหมด 3 ปีครึ่ง แถมหนังเรื่องนี้กำกับโดย Maya
Newell เธอก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยคู่รักชาวเลสเบี้ยน
โดยที่เธอเห็นว่ามีการถกเถียงกันอย่างหนักในออสเตรเลียว่าจะให้มีการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันอย่างถูกกฎหมายไหม
โดยการถกเถียงได้มีเสียงสำคัญที่ตกสำรวจไป คือ เสียงของเด็กเหล่านี้ Maya จึงอยากนำเสนอให้คนอื่นได้รับรู้ด้วย
Gus เด็กชายผู้ชื่นชอบมวยปล้ำมากผู้มีหน้ากาก
Rey Mysterio กัสอาศัยอยู่กับแม่ทั้งสองคนกับน้องสาวชื่อรอรี่ย์
กัสบอกว่าเขาไม่เข้าใจหรอกว่าอะไรคือ “แมน แมน ความเป็นชายนั้นเป็นอย่างไรกันแน่”
กัสบอกว่าเมื่อก่อนเขาชอบเล่นอะไรฟุ้งฟริ้งก่อนที่จะมาบ้ามวยปล้ำ
แต่กัสแสดงความเป็นสุภาพบุรุษตัวน้อยให้เราเห็น
หลังจากที่แม่ห้ามไม่ให้เล่นมวยปล้ำกับน้องสาวแรงๆ ห้ามทำรัดคอน้อง แทนที่จะต่อยกันให้จั๊กกะจี้น้องแทน
แล้วกัสก็ทำตามเพื่อจะได้เล่นกับน้องได้ แสดงถึงความรักน้องยอม compromise คือนึกถึงตัวเองสมัยเด็กๆเล่นมวยปล้ำกับญาตินี่ไม่มียอมกันหรอก
ไม่ใครก็ใครได้ร้องไห้ จนต้องถูกตีกันเรียงตัว
เราชอบที่แม่บอกกัสว่าคนขายไม่มีสิทธิ์ห้ามลองลิปสติก
กัสไม่ได้เอามาเล่นเละเทะ กัสเอาตัวทดลองมาทาปากแต่คนขายบอกว่าอย่าเอามาเล่น
แม้คนขายจะพูดลงท้ายด้วยคำว่า PLEASE ก็ตาม
แสดงว่าคนเรายังถูกครอบงำว่าลิปสติกนั้นเป็นของผู้หญิงผู้ชายไม่ควรใช้
Ebony เด็กสาวผู้รักการร้องเพลง
อาศัยอยู่กับแม่ๆและน้องชายทั้ง 2 อีโบนี่กำลังพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะสอบเข้าโรงเรียน
New High เพราะแม่เธอบอกว่าถ้าเข้าโรงเรียนนี้จะไม่มีใครสนใจว่าบ้านเธอนั้นมีแม่
2 คน ไม่เหมือนโรงเรียนแถวบ้าน แม่เธอพยายามอย่างมากส่งเธอเรียนพิเศษฝึกร้องเพลง
บ้านเธอไม่ได้มีเงิน เพราะน้องชายคนเล็กเป็นโรคลมบ้าหมู
(ซึ่งไม่รู้ว่าสรุปเป็นโรคอะไรกันแน่)
ต้องมีแม่คนหนึ่งคอยดูน้องตลอดเวลาจึงออกไปทำงานไม่ได้ แล้วการที่เธอไปเรียนร้องเพลงนี้ทำให้น้องชายคนรองไม่ได้ไปเรียนคาราเต้
เพราะแม่เอาเงินมาลงเดิมพันกับเธอหมด
เราว่าครอบครัวนี้ก็แสดงถึงความพยายามของผู้ปกครองที่อยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุด
ก็เหมือนพ่อแม่คนไทยนั่นแหละได้เรียนโรงเรียนดีเพื่อนดีหวังว่าผลลัพธ์ภายหน้าก็จะดีไปด้วย
แต่สิ่งที่เราไม่ค่อยถูกใจครอบครัวนี้คือ จะมีลูกเยอะไปกันทำไมคะมีแล้วต้อง struggle
ในการเลี้ยงดู คิดดูนี่ขนาดอยู่ในประเทศที่รัฐให้เงินค่าเลี้ยงดูยังลำบาก
มีลูกคนสองคนก็น่าจะพอแล้ว นี่มี 3 คน (ในหนัง แถมพอมาหาข้อมูลตอนนี้มี 4 คนค่ะ)
ท้ายนี้ก็เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวเราเฉยๆนะคะ
Matt หนุ่มน้อยผู้มีความคิด
อาศัยอยู่กับแม่กับแฟนของแม่ พ่อกับแม่ของแมทหย่ากัน
ชื่นชมที่เด็กอย่างแมทเข้าใจไม่เกลียดแฟนของแม่ เขาบอกว่ารู้สึกขอบคุณที่ Louise
ดูแลทำอาหารให้เขาทำให้มากกว่าญาติเสียอีก
แมทยังมีความคิดเรื่องศาสนาเขาไม่เข้าใจแม่ว่าจะไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ทำไม
ทั้งๆที่พระเจ้าบอกว่ารักร่วมเพศนั้นผิด
แต่แมทก็ยอมที่จะศึกษาไบเบิ้ลก่อนตัดสินใจว่าจะนับถือศาสนาไหม
แมทและครอบครัวมีโอกาสได้เจอนายกรัฐมนตรี(ขนะนั้น) จูเลีย กิลลาร์ด เพื่อจะได้พูดคุยกันเรื่องกฎหมายให้คนเพศเดียวกันแต่งงานกันอย่างถูกกฎหมาย
Graham เด็กชายผู้อาศัยอยู่กับพ่อ/พ่อและพี่ชาย
แกรห์มมีปัญหาเรื่องการอ่าน เขาพูดไม่ได้เพราะบ้านเขาใช้ภาษามือ จนเมื่ออายุ 5
ขวบพ่อเขารับเขามาเลี้ยงดูจาก Foster House ถึงได้มีการฝึกพูดอ่านเขียนอย่างจริงจัง
เราชอบที่พ่อเขามีความพยายามและใส่ใจ คอยให้กำลังใจช่วยสอนการบ้านทุกวัน
บ้านนี้แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ทุกที่ในโลกจะเปิดประตูยอมรับคนรักเพศเดียวกัน พ่อเขาต้องย้ายไปทำงานที่ฟิจิ
เด็กๆไม่สามารถบอกใครๆได้ว่าเขามีพ่อ 2 คน บอกได้แต่ว่าอีกคนเป็นคนดูแลเด็กๆ
เพราะพ่อๆไม่รู้ว่าสังคมจะยอมรับได้ขนาดไหน
ดูหนังเรื่องนี้แล้วได้อะไร
ได้รับรู้ว่าเด็กไม่ว่าจะเลี้ยงด้วยครอบครัวคู่รักช/ญ ช/ช ญ/ญ ก็เป็นคนดี น่ารัก มีเหตุผลได้
เพียงแค่คนที่เลี้ยงเป็นคนดีเลี้ยงพวกเขาอย่างดี ในทางกลับกันถ้าคนเลี้ยงเลี้ยงไม่ดี
เลี้ยงให้เป็นเด็กเกเร
เด็กก็เป็นผ้าขาวผู้พร้อมที่จะไม่ดีเพราะซึมซับสิ่งไม่ดีจากคนเลี้ยงมาก ฉะนั้นอย่าเอาคำว่าเด็กมาเป็นข้ออ้างในการไม่ให้การแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกันอย่างถูกกฏหมายเกิดขึ้น
เพียงเพราะว่ากลัวว่าเด็กจะโตมาอย่างไร ไอ้พวกเด็กเลวๆเหลือขอเต็มไปหมดนี่ไม่ได้เกิดจากครอบครัวชาย/หญิงที่คนมองว่าปกติหรือ
ท้ายนี้ใครอยากดูรูปเด็กๆที่โตแล้วสามารถดูได้ตาม
Link เลยค่ะ เสียดายไม่มีรูป แกรห์ม
ส่วนใครสนใจอยากดูเห็นว่าทาง
Documentary Club จะทำ DVDs ออกมาประมาณเดือนกุมภาพันธ์นะคะ