เรื่อง Les Intouchables ทำให้เรานึกถึงเรื่อง “Le
scaphandre et le papillon”
ที่สำนักพิมพ์ผีเสื้อเอามาแปลขายและแปลจากชื่อได้ตรงตัวที่สุด “ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ” หนังสือเรื่องนี้เขียนโดยการกระพริบตาของ JEAN
- DOMINIQUE BAUBY เขาเป็นอดีตบก.บห.ของ Elle ฝรั่งเศส
แต่เส้นเลือดในสมองแตกทำให้ขยับได้แต่เปลือกตาซ้าย และกว่าเขาจะเขียนหนังสือได้
ต้องมีคนนั่งไล่ตัวอักษรให้เขากระพริบตาว่าเขาจะใช้อักษรตัวนี้
คิดดูว่าต้องใช้ความพยายามขนาดไหน หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่เขากล่าวถึงครอบครัว
ความสัมพันธ์กับพ่อ จขบ ได้อ่านหนังสือเล่มนี้นานมากๆแล้ว
หอบหิ้วไปเรียนด้วยแต่ไม่ได้เอากลับมาเพราะให้คนอื่นไปอ่านต่อ
ตอนนี้อยากจะเอามาอ่านเพื่อฟื้นความจำอีกครั้ง คงต้องซื้อใหม่
อ้อหนังสือเล่มนี้ได้สร้างเป็นหนังด้วยนะคะ ในชื่อภาษาอังกฤษคือ “The
Diving Bell and The Butterfly” แถมได้รางวัลเพียบเลยนะคะ
ใครเป็นคอหนังยุโรปน่าจะเคยได้ยินหรือเคยดูแล้วก็ได้ ตอนนั่งเขียนก็นึกขึ้นได้ว่าเราซื้อ DVD เรื่องนี้มาเก็บไว้นี่
หุหุ แก่แล้ว แต่โดยปกติถ้าเราได้อ่านหนังสือก่อนเราจะไม่ดูหนังนะคะ
มันทำลายความสุขจากการอ่านจริงๆค่ะ ถ้าหนังทำออกมาแย่
สรุปง่ายๆสั้นๆ
ชอบค่ะเรื่อง The
Intouchables แนะนำให้ไปดูกันนะคะ
เผื่อคนนำหนังเข้ามาฉายจะได้เอาหนังดีๆจากยุโรปมาให้คนไทยดูบ่อยๆ ไม่งั้นต้องรอไปช่วงเทศกาลหนังอย่างเดียว
ปล.ฟังเพลงนี้ประกอบไปด้วย
Vivaldi ช่วง Summer จาก Four Season กับ September ของ Earth,
Wind & Fire และ Feeling Good ของ เจ้าป้า Nina Simone ด้วย เพลงที่เราชอบทั้ง 3 เพลงเลย ช่างเป็น OST ที่มีคลาสจริงๆ ฮาฮาฮา
วันเสาร์-อาทิตย์ทั้งสี่สาวได้ไปใช้เวลาอยู่ที่
Parc Astérix ได้ย้อนกลับเหมือนได้ไปเที่ยวกับเพื่อนตอนสมัยมัธยมอีกครั้ง
ณีนนาราอาจจะไม่ได้เล่นของเล่นมากเพราะด้วยสภาพร่างกายที่ยังไม่เอื้ออำนวยเท่าใดนัก
เบญจ์ก็สมัครใจที่จะนั่งเป็นเพื่อนแฟนสาวปล่อยให้
ตะวันกับปูรณ์เล่นของเล่นถ่ายรูปกันอย่างเต็มที่
เย็นวันอาทิตย์หลังจากที่กลับมากจาก Parc Astérix เอาสัมภาระไปเก็บที่โรงแรม
ทั้งสี่สาวก็ไปนั่งเรือ Bateaux Mouches ล่องแม่น้ำ Seine
ที่สามารถเห็นสถานที่ที่น่าสนใจ เช่น Eiffel
Tower; Notre-Dame Cathedral; the Alexander III Bridge, the Pont Neuf; the Orsay Museum, และ the Louvre Museum
“เรื่องนี้เราชอบนะ
เราชอบตัวเอกทั้ง 2 คนเลย Ethan Hawke กับ Julie Delpy จริงแล้วชอบมาตั้งแต่ภาคแรก
แต่ด้วยอายุและอะไรหลายอย่างเราชอบ Before Sunset มากกว่า Before
Sunrise นะคะ อาจจะเป็นคำพูด ความเข้าใจในชีวิต แถม Paris ยังสวยมากเหมาะกับการถกปัญหาชีวิต ถึงแม้ในเรื่องไม่สามารถบอกได้ว่าทั้งคู่ได้นอกใจแฟนหรือเปล่าในตอนจบแต่เราเชื่อว่า
Jesse ไม่กลับอเมริกาแน่นอนเพราะตกเครื่องแล้ว”
เบญจ์พูดไปพลางหัวเราะ
“ณีนชอบหลายๆบทในเรื่องนี้นะคะ
บางคำคมนี่จำติดฝังลึกเลยค่ะ โดยเฉพาะตอน Celine พูดว่า ‘Memories are wonderful
things, if you don't have to deal with the past.’ จริงนะคะพอฟังแล้วณีนจดไว้เลย
เบญจ์รู้หรือเปล่าคะว่าณีนมักจะจดคำคมจากหนังเก็บไว้ในสมุดเล่มเล็กๆเล่มหนึ่ง
ว่างๆก็เอามาอ่านดูค่ะช่วยเตือนความจำพร้อมคิดว่าทำไมณีนถึงชอบคำคมนี้จากเรื่องนี้กันนะ” ณีนนาราเล่าให้เบญจ์ฟัง
“แต่ตอนจบเบญจ์ชอบนะคะ
ชอบที่ Celine ร้องเพลง เพลงน่ารักดี” เบญจ์ก็ร้องเพลงคลอเบาๆให้แฟนสาวฟัง Let me sing you a waltz / Out of
nowhere, out of my thoughts / Let me sing you a waltz / About this one night
stand / You were, for me, that night / Everything I always dreamt of in life /
But now you're gone / You are far gone / All the way to your island of rain /
It was for you just a one night thing / But you were much more to me, just so
you know / I don't care what they say / I know what you meant for me that day /
I just want another try, I just want another night / Even if it doesn't seem
quite right / You meant for me much more than anyone I've met before...............
“พอๆทั้งคู่
นี่เรากำลังจะผ่าน Pont Alexandre
III สะพานที่เขาว่าสวยที่สุดใน Paris นะยิ่งเราล่องเรือเวลานี้ทำให้เราได้เห็นไปที่เขาเปิดยิ่งสวยมากขึ้น”
ตะวันรีบหย่าศึกพร้อมชี้ชวนให้เพื่อนๆดูวิว
เมื่อทั้งสี่ขึ้นมาจากเรือก็ตัดสินใจนั่งแท๊กซี่ไปที่ร้านอาหารที่ปูรณ์จองไว้แถบย่าน
Opéra ชื่อร้าน Aux Lyonnais เป็นของเชฟชื่อดัง Alain
Ducasse ที่เสริฟอาหารจากทางเมือง Lyon แถมยังมีไวน์จาก
Lyon ให้เลือกสรร หลังจากอิ่มอร่อยจากอาหารอันเยี่ยมยอดก็เดินทางมาพักผ่อนที่โรงแรมก่อน วันรุ่งขึ้นทั้งสี่จะขับรถไปเที่ยวเมือง Giverny ตอนเช้าเพื่อที่จะได้ไปถึง Monet’s House ก่อนที่ทัวร์ต่างๆจะมาถึง
หลังจากที่เดินชมบ้านชมสวนกันแล้ว ก็ได้นั่งพักผ่อนกันที่ทานอาหารกลางวันกันที่ Forêt
de Bizy โดยมีหัวหน้าทัวร์ได้เตรียมแซนด์วิชที่ออกไปซื้อตั้งแต่เช้าก่อนออกเดินทางมาให้เพื่อนร่วมอุดมการณ์การเที่ยวรับประทาน
เมื่อนั่งพักผ่อนหย่อนใจ ทั้งหมดก็ตัดสินใจที่จะขับรถกลับ Paris แต่เป็นการขับรถแบบไปตามเส้นทางชนบทเพื่อชมวิวไม่ใช่การขับรถโดยการใช้มอร์เตอร์เวย์เหมือนขามา
และตัดสินใจกันว่าจะลองทานอาหารเย็นตามร้านอาหารที่ขับผ่านก่อนเข้าเมืองดู
เพราะการรับประทานอย่างนี้มักจะได้ประสบการณ์อาหารแบบต้นตำรับแท้ๆ
ที่สำคัญณีนนารานั้นมีความรู้ภาษาฝรั่งเศสดีไม่มีอุปสรรคในการสื่อสารแน่นอน เบญจ์ขับรถมาถึงโรงแรมประมาณเกือบสามทุ่มสี่สาวก็แยกย้ายกันพักผ่อน
วันรุ่งขึ้นเป็นวันสุดท้ายใน
Paris ตอนเช้าเบญจ์กับปูรณ์ลงมาจัดการเรื่องส่งคืนรถเช่า
และตกลงกันว่าจะแยกย้ายกันเที่ยว แต่นัดมาเจอกันที่โรงแรมเพื่อมาเอาสัมภาระที่ฝากไว้เวลา
16.00 น. ก่อนที่จะนั่งแท๊กซี่ไป Gare du Nord เพื่อนั่งรถไฟกลับอังกฤษ
ปูรณ์ตัดสินใจว่าจะไปเดินเล่นย่านใจกลางเมืองเพื่อถ่ายรูปวิถีชีวิตคนฝรั่งเศส
เดินไปเรื่อยๆแบบไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่ชัด
ตะวันจะไปเดินย่านมหาวิทยาลัย La Sorbonne แล้วจะไปเดินหาหนังสือใหม่และมือสองจากร้าน
Gibert Jeune พร้อมทั้งจะไปซื้อขนมไปฝากคนที่สำนักงานด้วย ส่วนสองสาวคู่รักตกลงกันว่าจะไปเดินเล่นที่ Louvre
แล้วก็ไปนั่งดื่มโกโก้ร้อนที่ร้าน Angelina ใกล้ๆกับพิพิธภัณฑ์
Louvre ซึ่งเป็นร้านโปรดของณีนนารา
“อยากให้เมืองไทยมีพิพิธภัณฑ์เยอะๆเหมือนที่
Paris จังเลยค่ะ เด็ก เยาวชนจะได้มีที่ไปชื่นชมงานศิลป์แล้วก็มีกิจกรรมทำ
ไม่ต้องวันๆนั่งเล่นเกมเล่นอินเตอร์เนตอยู่ที่บ้าน”
“ใช่ที่นี่พิพิธภัณฑ์ไม่น่าเบื่อเหมือนเมืองไทย
มีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะ เด็กๆสนุกแถมได้ความรู้ แต่เบญจ์เคยไปที่
จามจุรีสแควร์ไหมเขามี นิทรรศการ ‘Dialogue in the Dark – บทเรียนแห่งความมืด’ น่าสนใจมากณีนเคยดูจากรายการโทรทัศน์ก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปซะที”
“ใช่ค่ะ
ทานเสร็จแล้วเดี๋ยวซื้อมากาฮองที่ Pierre Hermé ไปให้ตะวันไว้ทานกับชาด้วยค่ะ
เห็นตะวันบอกว่าอยากลองชิมของร้านนี้เพราะปกติก็ซื้อลองไปทั่วแต่ยังไม่เคยชิมของ Pierre
Hermé”