Monday, 29 October 2012

บทเรียนในความมืด


เมื่อวานหายไปไม่ได้มาอัพบล๊อก เพราะ จขบ มัวแต่หนีไปเที่ยวค่ะ แต่ไม่ได้ไปงานสัปดาห์หนังสือที่ศูนย์ประชุมนะคะ เพราะขี้เกียวจฝ่าฝูงชนคนวันสุดท้ายแม้จะมีโอกาสได้หนังสือลดราคาเยอะเนื่องจากหลายสำนักพิมพ์บางทีขี้เกียจขนหนังสือกลับก็จะลดลงราคามาอีก แต่เมื่อไม่ได้ไปก็ไม่มีอะไรมาเล่านะคะ เพียงแต่จะบอกว่าเข้าไปดูที่ร้านนายอินทร์แถวบ้าน จะมีหนังสือเก่าซื้อหนึ่งแถมหนึ่งคุ้มมากๆไม่ต้องถ่อสังขารไปศูนย์ประชุม ความจริงเมื่อวานก็อยากไปแต่ติดขัดที่ไม่ได้เอารถไปแถมไปดูหนังกับไปนิทรรศการที่ จามจุรีสแควร์ ซึ่งเราจะเขียนถึงนี่แหละค่ะ อยากเชิญชวนให้คนไปกันหลายๆคนเพราะ อพวช ซื้อไลเซ่นมาจาก Germany ซื้อเป็นแบบปีต่อปีนะคะ เห็นว่าจะยังมีไปจนถึงตุลาคมปีหน้า ที่รีบไปอาทิตย์ที่ผ่านมาก็เพราะตอนแรกเห็นว่าจะหมดเขตเดือนตุลาคมนี้



ขอเล่าถึงนิทรรศการชื่อ บทเรียนในความมืด : Dialogue in the Dark” (ต่อไปนี้จะขอย่อโดยใช้คำว่า DID นะคะ) DID คิดสร้างที่แรกที่เยอรมนีโดย Andreas Heinecke   เพราะเขามีเพื่อนร่วมงานที่พิการทางสายตาในตอนแรก Andreas ที่มีความสงสารเห็นใจ แต่เขาได้ทราบว่าสิ่งที่เพื่อนเขาต้องการไม่ใช่ความเห็นใจและสงสาร และเขาก็ตกใจที่คนพิการทางสายตาถูกกีดกัน แบ่งแยกปฏิบัติจากคนที่ครบ32 (ความจริงคนพิการก็ถูกแบ่งแยกปฏิบัติหมดแหละค่ะ ยิ่งในประเทศที่บอกว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย)

DID เปิดตัวให้ผู้ชมเข้าชมครั้งแรกในปี ค.ศ. 1988 ที่เมือง  Frankfurt และมีจัดเป็นนิทรรศการชั่วคราวไปทั่วโลก จนมีเป็นนิททรศการถาวรเมื่อปี ค.ศ.2000 ที่เมือง  Hamburg

จุดประสงค์หลักของ DID มี 2 ข้อ คือ
1.เพื่อให้สาธารณะชนได้มีความใส่ใจกับมีความอดทนต่อความแตกต่าง เพื่อจะได้ก้าวข้ามกำแพงของ คำว่า “พวกเรา” กับ “พวกเขา” ไปได้
2.เพื่อสร้างงานให้กับบุคคลที่เสียเปรียบ เปลี่ยนจากข้อด้อยไปเป็นข้อเด่น

DID ของเมืองไทย จะมี 7 ห้อง ให้ผู้เข้าไปสัมผัสรับรู้ว่าผู้พิการทางสายตาใช้วิธีการเอาตัวรอดในสังคมได้อย่างไร เขาอาจจะต้องการความช่วยเหลือบ้างแต่พวกเขาไม่ต้องการความสงสารค่ะ
ทั้ง 7 ห้องและมีวัตถุประสงค์คือ (ข้อมูลจาก องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ข้อมูล DID )

1. ห้องแนะนำนิทรรศการ  เป็นพื้นที่เตรียมตัวเข้าชมนิทรรศการ และออกจากนิทรรศการ
2. ห้องนั่งเล่น / (Living room)  ปรับตัวเข้ากับความมืดและเริ่มสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้นำชม และผู้เข้าชมด้วยความไว้วางใจและเป็นกันเอง
3. สวนสาธารณะ/ Park  เปิดประสาทสัมผัสของคุณให้พร้อมและกระตุ้นการรับรู้ของผู้ชม
4. ย่านตลาด / Market  กระตุ้นประสาทสัมผัส รับรู้และจดจำเพื่อสร้างประสบการณ์เดียวกันกับที่คนตาบอดพบในการดำเนินชีวิตประจำวัน
5. ยานพาหนะ/การขนส่ง / Transport เช่น รถตุ๊กตุ๊ก การผจญภัยในชีวิตประจำวันโดยประสบการณ์การเดินทางโดยใช้รถตุ๊กตุ๊ก
6. ห้องเสียง / Music Room ห้องเสียง เพื่อเปิดรับประสบการณ์การรับรู้และความบันเทิงของประสาทสัมผัสในร่างกายทุกส่วน
7. บาร์ / Bar เพื่อสร้างบทสนทนาที่เป็นบทสรุปอันจะเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจระหว่างคนตาบอด และคนตาดี

ก่อนที่จะเขียนถึงประสบการ์และความประทับใจก็ขอให้ข้อมูลกับคนที่อยากไปสัมผัส บทเรียนแห่งความมืดด้วยตนเองว่า นิทรรศการนี้จัดที่ชั้น 5 ของ จามจุรีสแควร์ สามย่าน ราคาเข้าชมผู้ใหญ่ 90 บาท เด็ก/นักเรียน/นักศึกษา 50 บาท แนะนำว่าควรโทรไปจองก่อนนะคะ อย่าจองเล่นๆแล้วไม่ไปนะคะเพราะการเข้าไปสัมผัสจะเข้าได้แค่ครั้งละ 8 คนเท่านั้น คุณจองแล้วไม่ไปมันเสียโอกาสคนอื่นที่เขาอาจจะ walk in เข้าไปโดยบังเอิญได้ค่ะ แล้วถ้าคิดจะพาเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปีเข้าชมต้องระวังนะคะเพราะทางผู้จัดจะพาเด็กไปทดสอบก่อนว่าเด็กกล้าพอไหม เนื่องจากมันมืดสนิทจริงๆ ผู้ใหญ่อย่าง จขบ ยังหวั่นๆเลย ดีนะคะมีเพื่อนไปด้วย  ห้ามนำอุปกรณ์ที่เรืองแสงเข้าไปนะคะ ถ้าใส่แว่นก็ถอดได้เลย เพราะแว่นไม่จำเป็นค่ะ ตอน จขบ ไปก็เอาเก็บไว้ที่ Locker ที่ทาง อพวช จัดเตรียมไว้ให้ ปลอดภัยแน่นอนค่ะ ถอดหมดแว่นตา นาฬิกาข้อมือ โทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าสตางค์  เพราะถ้าคุณทำอะไรหล่นข้างในคุณคงหาไม่เจอแน่ๆค่ะ แล้วถ้าคุณไปทำอะไรให้เกิดแสงคุณจะถูกเชิญออกมาจากนิทรรศการนะคะ
Facebook ของ DID มีข้อมูลกับเบอร์ติดต่อค่ะ เข้าไปหาข้อมูลกันได้เลยนะคะถ้าสนใจ

มาถึงประสบการณ์ที่ จขบ ได้รับ จากการเข้าไปใน บทเรียนในความมืด ด้วยระยะเวลาโดยประมาณ 1 ชั่วโมงนั้น คุ้มมากค่ะ ตอนแรกที่เข้าไปมันจะมืดซะจน จขบ รู้สึกว่ากลัว มันไม่ใช่มืดแบบเวลาไฟดับที่พอ ดวงตาของเราทำความเคยชินแล้วจะพอเห็นอะไรได้บ้าง อันนี้คุณไม่มีโอกาสจะได้ใช้ประสาทสัมผัสของการมองเห็นเลยค่ะ จะได้เรียนรู้ว่าถ้าคุณเกิดเสียการมองเห็นไปคุณจะต้องกลัวการใช้ชีวิตแน่นอนค่ะ คุณไม่สามารถรู้ได้ว่าจะไปทางไหน นี่ขนาดเรามีพี่ไกด์นำ แถมมีเพื่อนร่วมในประสบการณ์ถึง 8 คน รู้ว่าทุกอย่างมันต้องปลอดภัย แล้วคนที่พิการทางสายตาล่ะคะ เขาไม่มีโอกาสได้รู้ว่าที่ที่พวกเขาจะไปจะเจออะไร จะปลอดภัยไหม จะสะดุดล้มไหม จะซ้ายหรือจะขวา ได้รู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นใช้ชีวิตอย่างไรในชีวิตประจำวัน ในเวลา 1 ชั่วโมงมันคงไม่เพียงพอที่จะทำให้เรารับรู้ได้ทั้งหมด แต่ก็ทำให้เราหัดเข้าใจคนอื่นบ้าง อย่าไปรำคาญเกิดเจอพวกเขาเหล่านั้นเข้าไปดูหนังโดยมีคนนั่งข้างๆอธิบายว่าเกิดอะไรกับหนังบ้าง ไปพบความเก่งว่าเขาแยกแบงค์ได้ยังไงกัน แล้วก็ยิ่งเกลียดไอ้พวกเลวๆที่เอาแบงค์ปลอมไปซื้อของหรือแลกจากคนตาบอด เลวมากๆค่ะ มีครบ 32 ยังไม่คิดจะทำมาหากิน (อันนี้ไกด์ไม่ได้เล่านะคะ เพียงแต่นึกไปถึงข่าวที่ได้รับฟังจากสื่อมา)

ท้ายนี้ขอแนะนำให้คุณๆไปสัมผัสประสบการณ์นะคะ อ้อ เราได้ไปดูหนังมาด้วยค่ะ ดูเป็น 3D ด้วย การ์ตูนของ Tim Burton เรื่อง FrankenWeenie หนังก็ Dark ตามสไตล์ ตา Tim แหละค่ะ แต่ตอนจบก็ซึ้งนะคะ คนที่ไปดูด้วยแอบมีน้ำตาไหลด้วยค่ะ ใครเป็นพวกรักสัตว์นี่น่าจะเป็นเหมือนคนที่ไปดูกับ จขบ นะคะ

นี่คือหนังที่ จขบ ไปดูมาค่ะ

Sunday, 21 October 2012

MY FAV ALCOHOL DRINKS


วันอาทิตย์อีกแล้วค่ะ ไม่ใช่มีความคิดว่าจะต้องเขียนบล๊อกทุกวันอาทิตย์หรอกนะคะเพียงแต่ว่า วันนี้เป็นวันที่มีเวลามากที่สุดถ้าไม่ได้ไปไหนตอนเช้าหลังจากกลิ้งอยู่บนเตียงถึงแม้ว่าจะตื่นตั้งแต่เช้า แต่ก็จะดูทีวี อาบน้ำอย่างพิถีพิถันที่สุดเพราะโดยปกติไม่ได้เป็นคนนวดผม ฉะนั้นจะถือโอกาสหมักผม พอกหน้าบ้างบางโอกาสและไม่ขี้เกียจจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ นะคะไม่เกิน 25 นาที คนอื่นเขาคงจะอาบใช้เวลาประมาณนี้ในวันธรรมดาอยู่แล้ว เผอิญเราปกติ 10 นาทีก็เสร็จค่ะ

วันนี้ไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลยว่าจะเขียนเรื่องอะไร จะเขียนเรื่องกินเจ ก็คงไม่ใช่เพราะโดยส่วนตัวไม่ได้เคร่งครัดอะไร ที่กินเพราะที่บ้านบอกก็กินสักหน่อยสิ ปีละ 10 วันเอง เราไม่เชื่อว่า 10 วันนี้จะทำให้เราเป็นคนดีขึ้นมา เรายังคงมีนิสัยจิกกัดคิดแปลกอยู่เหมือนเดิม การกินเจไม่ได้ทำให้นิสัยเราเปลี่ยนไป แต่เราคิดว่าคงจะเริ่มทานมังสวิรัติ สักอาทิตย์ละวันเพราะมันดูไม่ยุ่งยากเกินไป แค่ไม่ทานเนื้อสัตว์ แต่บางทีมังสวิรัติที่เรารู้จักเขาทาน Seafood นะคะ อาจจะแค่ปลาซะส่วนมาก ซึ่งเราก็คิดว่ามันดีกว่าไม่ทานเนื้อชนิดใดเลยแน่ๆ เราคงทำไม่ได้ในเวลาอันใกล้ เลยคิดว่าจะเริ่มทานมังสวิรัติทุกวันจันทร์ตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นไปค่ะ

ไหนๆก็จะไม่เขียนเรื่องกินเจ ที่คนไทยคิดว่าคนเชื้อสายจีนส่วนใหญ่จะรู้จัก แต่ทั้งคน จีน ฮ่องกง ไต้หวัน ไม่เข้าใจและคนจีนที่นับถือเจ้าแม่กวนอิมก็ยังกินเนื้ออยู่ ส่วนประเพณีกินเจ ก็จะเป็นคนเชื้อสายจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซะส่วนใหญ่ แล้วก็จะ ไทย มาเลเซีย และสิงคโปรแล้วเราไม่พูดถึงการถือศีลกินเจ เราจะแหกคอกออกมา วันนี้เราจะพูดถึงเครื่องดื่ม Alcohol ที่เราดื่มค่ะ เราเคยดื่ม เพราะตอนนี้เราไม่มีโอกาสได้ดื่มเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็ดีนะคะดื่มเยอะไม่ดีหรอก แต่เราสนับสนุนให้เด็กทุกคนสมควรหัดดื่มนะคะ ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้ว ไม่อยากให้ผู้หญิงถูกผู้ชาย/ทอม/ใครก็แล้วแต่มอม ไปทำมิดีมิร้ายหรือรูดทรัพย์ ทุกคนสมควรรู้ลิมิตการดื่มของตัวเองค่ะ ถ้าดื่มในบ้านกับครอบครัวหรือเพื่อนสนิทก็อีกกรณี แต่ไม่ใช่ตามผับตามบาร์

1.Bacardi + Coke
เป็นเครื่องดื่มจำพวก Spirit Alcohol ชนิดแรกที่เราดื่มเลยค่ะ เพื่อนคนสวิสเป็นคนแนะนำให้ดื่มค่ะ เขาบอกว่าที่สวิสนิยมมาก อ้อ เราดื่มเครื่องดื่ม Alcohol เป็นอยู่แล้วนะคะ เวลาไปเที่ยวกับเพื่อนๆก็จะดื่มเบียร์กับไวน์ซะส่วนมาก เพราะเบียร์ราคาไม่แรงและไวน์ตอนนั้นเพื่อนๆและเราก็ขอผู้ปกครองกันมา ซึ่งก็ส่วนมากเป็นเรานี่ล่ะเนื่องจากที่บ้านอยากให้ได้ลองดื่ม ยิ่งเป็นผู้หญิง
สรุปว่า Bacadi + Coke แล้วมีเลมอนใส่ลงไปด้วยเสี้ยวหนึ่ง ดื่มเสร็จก็เอาเลมอนมาดูด อร่อยดี

(*Spirit คือ Alcohol ที่ไม่หวานมีแอลกอฮอลวอลลุ่มอย่างต่ำ 20% ส่วนมากก็จะเป็นพวกแอลกอฮอลที่กลั่นมาแล้วบรรจุขวดเลย เช่น Rum, Vodka และ Gin ฯลฯ อ้อแต่เบียร์กับไวน์ถือว่าเป็น Spirit นะคะ)

2.Bailey’s Irish Cream
คนสอนให้ดื่ม Bailey’s on the rock คือโฮสแฟมิลี่ของเพื่อนค่ะ เราชอบที่มันครีมๆมันๆกลิ่นกาแฟ ใส่น้ำแข็งรอน้ำแข็งให้ละลายนิดๆ จะลดความหวานไปหน่อย อร่อยสุดๆค่ะแต่ก็อ้วนสุดๆเหมือนกัน หนึ่งขวดนั่งดื่มกับเพื่อนที่รู้ใจสามารถหมดได้ง่ายๆนะคะ

3.Vodka + Redbull
เมื่อก่อนตอนที่มีคนสั่งแล้วก็ได้แต่มองว่านี่มันเครื่องดื่มคนใช้แรงงานชัดๆเพราะเมืองไทย เมื่อก่อนนะคะ คนที่จะดื่มกระทิงแดง คือ ชนชั้นแรงงาน พนักงานขับรถ หรือคนที่อดหลับอดนอน แต่กลายเป็นว่ามันเป็นเครื่องดื่มที่ฮิตมากและเมื่อได้ชิม อืม Redbull กับ กระทิงแดง รสชาติมันแตกต่างกัน เราเคยขอพ่อชิมกระทิงแดงเราจำได้ว่ามันขม แต่ Redbull ไม่ขม ซ่าๆอร่อยดี

4.Lager Top
ถ้าคนที่ติดตามอ่านคงเคยอ่านว่าเราพูดถึง Shandy ในนิยาย (เขียนถึงรึเปล่านะ แต่จำได้ว่าเคยเขียนถึง) Shandy คือเบียร์ Lager กับ Lemonade (น้ำอัดลมรสมะนาวอย่างสไปร์ท) ผสมกันแบบครึ่งๆ คนอังกฤษชอบไปสั่งตามผับและร้านอาหาร แต่คนอังกฤษบางคนจะสั่ง Lager Top เพราะจะได้รสชาติเบียร์มากกว่า  Lager Top ก็คือ เทเบียร์ลงในแก้วเหลือที่สักนิ้วจากปากแก้วแล้วเติม Lemonade ลงไป แนะนำเบียร์ช้างแช่เย็นๆ แล้วเติมสไปร์ทแช่เย็นลงไปสักนิด ดื่มตอนอากาศร้อนๆ สุขสุดๆค่ะ

5.Umeshu
เราเพิ่งรู้จัก Umeshu ไม่นานเท่าไหร่ เพราะเพื่อนคนญี่ปุ่นคนที่เป็น Drinking Mate หิ้วมาฝากตอนมาเที่ยวเมืองไทย มันเป็นการเปิดโลกทัศน์ ว่าเอาบ๊วยมาดองเป็นเหล้าก็อร่อย แค่เทดื่ม on the rock ไม่ต้องผสมอะไรเลยก็อร่อยแล้ว นั่งคุยกันไปดื่มกันไปหมดไม่รู้ตัว เสียอย่างเดียว เคยจะฝากเพื่อนที่เป็นแอรืหิ้วมาให้จากญี่ปุ่นก็เกรงใจ เพราะมันหนัก ซื้อเมืองไทยก็หาแบบ Limited Edition ยาก

6.Mojito
เราชอบที่มันเปรี้ยวๆ ซ่าๆ หวานนิด กลิ่นมิ้น ดื่มแล้วอร่อยชื่นใจ ยิ่งบางที่ชอบใส่อ้อยมาให้คนในแก้ว ดื่มเสร็จก็เคี้ยวอ้อยเล่น อร่อยดีค่ะ เป็นเครื่องดื่มที่เวลาไปผับที่มีค๊อกเทลขายเรามักจะสั่งประจำค่ะ

7.Pimm’s + Lemonade
เขาว่าถ้าไปดูเทนนิสที่ Wimbledon แล้วไม่ได้ดื่ม Pimm’s กับกิน Strawberries+Cream ก็คงไปไม่ถึง Wimbledon แต่ยืนยันได้ว่าทำเองอร่อยกว่า เพราะเราจะเลือกใส่เฉพาะผลไม้ที่เราชอบ โดยเราใส่ ส้ม เลมอน แล้วก็ สตอเบอรี่ หึหึ โดยพื้นฐาน Pimm’s ก็รสชาติ fruity อยู่แล้ว แต่ดื่มเสร็จเคี้ยวผลไม้ไปด้วยนั่งปิกนิกกันอร่อยจะตาย แต่อากาศอย่างเมืองไทย นั่งกลางแดดปิกนิกคงต้อง Pimm’s สัก2เหยือก

8.Mailbu + น้ำสับปะรด
มาลิบูเป็นแอลกอฮอลกลิ่นมะพร้าว หวานดื่มง่ายแค่เอามาผสมกับน้ำสับปะรดใส่น้ำแข็งให้เย็นๆก็อร่อยแล้ว ดื่มง่ายได้เรื่อยๆ อย่าลืมยิ่งดื่มง่ายก็ยิ่งเมาง่ายนะคะ

9.Midori+Lemonade+ Dash of lime
Midori เป็น Liquor กลิ่นเมลอน เราไม่ชอบอะไรกลิ่นเมลอนเท่าไหร่จริงๆแล้ว แต่เราทานเมลอนที่เป็นผลไม้นะคะ แต่พวกกลิ่นที่สังเคราะห์มาเราไม่ชอบ แต่พอได้ลองชิมที่เพื่อนสั่งมาแล้วอืม มันหอมอร่อยดีนะ

ขอลาไปแค่นี้นะคะไม่รวมเบียร์หรือพวกเครื่องดื่ม Ready to drink สังเกตว่าเราจะชอบดื่มพวกผสมง่ายๆไม่ใช่ cocktail เนื่องจากขี้เกียจทำค่ะ แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ดื่มอะไรพวกนี้เท่าไหร่ส่วนมากจะเป็น Wine ไม่มีรูปนะคะ ไม่ได้ขี้เกียจนะแต่แบบว่า อันนี้แค่แชร์ความชอบไม่ได้ส่งเสริมให้ดื่มนะคะเกิดดูรูปแล้วอยากดื่มขึ้นมา ฮาฮา จริงๆแล้วขี้เกียจไปฝากรูปที่ free hosting น่ะค่ะ มันเอ๋อๆไงไม่รู้   

Sunday, 14 October 2012

สาวๆจากหนัง James Bond


วันนี้ก็วันอาทิตย์อีกแล้ว ก็คงถึงเวลาที่ต้องอัพบล๊อกกันอีกครั้งนะคะ ทนๆอ่านกันไปนิดนะคะผู้อ่านทุกท่าน เมื่อคืนก็นั่งนึกว่าจะเขียนเรื่องอะไรดีตอนนั่งดู Toy Story กับน้อง แล้วบังเอิญแชทกับเพื่อนสนิทมากคนหนึ่ง คุยกันถึงเรื่องหนังแล้วเขาก็บอกว่าอยากดู Skyfall เพราะติดตาม Mr.Bond มาตลอด แถมเพลงประกอบภาคนี้เพราะมากร้องโดย Adele นักร้องคนโปรดของ จขบ แต่จะพูดถึง ตา Daniel Craig ก็คงไม่ใช่ เฮียแกเท่นะแต่ไม่มีอะไรให้พูดถึง :p เลยขอมาพูดถึงนักแสดงสาวๆที่เราชอบแล้วกันนะคะ อาจจะไม่ใช่รุ่นเก่าอะไรมาก และแปลกด้วยนะคะส่วนมากที่เราชอบมักจะเป็นตัวร้าย หรือว่าคนสวยมักจะร้ายจะเป็นเรื่องจริง

ฟังเพลง Skyfall โดย Adele ไปอ่านบล๊อกไปด้วยน่าจะเข้ากันนะคะ


คนแรกที่ จขบ ชอบคือ ดาราชาวฝรั่งเศส ชื่อ Sophie Marceau เธอแสดงเป็น  Elektra King ใน ‘The World Is Not Enough’ Elektra เป็นทายาทบริษัทน้ำมันที่ต้องการจะทำให้โลกรู้จักเธอด้วยการให้นิวเคลียร์ระเบิดไปตามท่อส่งน้ำมัน  สวย,รวย,เก่งและร้าย


คนที่สอง คือ Eva Green ( จขบ ชอบ ชื่อกลางเธอด้วย Gaëlle อ่านว่ากาแอล ) อีกหนึ่งดาราสาวชาวฝรั่งเศสที่ จขบ ชื่นชอบ เธอแสดงเป็น Vesper Lynd ใน Casino Royale  Vesper เป็นสายลับสองหน้าในตอนนี้เธอไม่ได้ตั้งใจจะทรยศแต่เนื่องจาก Quantum จับแฟนของเธอไปและขู่จะฆ่า เคยดูรายการหนึ่งบอกว่า Vesper เป็นแค่ 1 ใน 2 คนที่ Mr.Bond รักจริง
ปล. Eva นั้นเรียนโรงอเมริกันในปารีส ทำให้ภาษาอังกฤษเธอดีมาก ไม่มีสำเนียงคนฝรั่งเศสในการพูดภาษาอังกฤษเลย


คนที่สามคือ Rosamund  Pike เธอแสดงเป็น Miranda  Frost ใน Die Another Day อีกหนึ่งสายลับสองหน้าเธอทำงานให้ MI6 แล้วก็ทำงานให้ Graves  ด้วย เธอเตือน Graves ก่อนว่า Bond จะเดินทางไปเกาหลีเหนือ ท้ายสุดเธอตายด้วยการถูก Jinx แทงที่หัวใจตาย


คนที่สี่คือ Famke Janssen เธอแสดงเป็น Xenia Onatopp ใน GoldenEye และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เป็นตัวร้ายใน หนังภาคต่อชื่อดังเรื่องนี้ ในตอนท้ายเธอตายไปพร้อมกับเฮลิคอปเตอร์ที่ชนต้นไม้


คนที่ห้า และคนสุดท้ายคือ Teri Hatcher เธอแสดงเป็น  Paris Carver ใน Tomorrow Never Dies สำหรับคนนี้ก็พูดไม่ได้อย่างเต็มปากว่าชอบเธอจากเรื่องนี้ เพราะ จขบ ชอบเธอมาตั้งแต่ดู Lois & Clark: The New Adventures of Superman ที่ช่อง7 นำมาฉาย หรือแฟนซีรี่ย์ใหม่ๆคงจำเธอได้จาก Desperate Housewives



สรุปแล้วสาวๆที่แสดงในหนัง James Bond เป็นดาราที่เรารู้จักและชอบมาก่อนอยู่แล้วซะส่วนมาก แถม 4 ใน 5 ยังเป็นพวกสาว Nerd สรุปได้ว่า จขบ ชอบสาว Nerd ค่ะ แล้วคุณๆ คนอ่านชอบสาวบอนด์คนไหนกันบ้างคะ


Sunday, 7 October 2012

เพลงของ Céline Dion


วันนี้วันอาทิตย์ซึ่งก็เป็นการอันสมควรที่จะเขียนอะไรเพื่ออัพบล๊อกบ้าง เดี๋ยวมันจะกลายเป็นบล๊อกร้าง ก็คิดว่าต้องเขียนแต่ประเด็นสำคัญที่สุดคือไม่รู้จะเขียนอะไร ในที่สุดต้องขอบคุณการนอนไม่หลับเมื่อคืน ดูฟุตบอล Westham vs Arsenal จบก็ยังไม่หลับเลยนอนฟังเพลง Youtube ไปเรื่อยๆในที่สุดก็ได้หัวข้อมาเขียนจนได้ค่ะ คือ 10 เพลงที่ชอบของ Céline Dion สมัยเด็กๆก็ฟัง เพลงของ Céline จากน้าแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพลงของ Céline นะคะ ก็รู้สึกเท่เว้ยฟังเพลงฝรั่งเศส ทั้งๆที่ภาษาอังกฤษก็ไม่กระดิกหูภาษาฝรั่งเศสก็ไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้ภาษาอังกฤษได้แล้วแต่ภาษาฝรั่งเศสยังคงเรียกได้ว่าสามปีที่เรียนมาตอนมัธยมศึกษาตอนปลายนั้นช่างไม่ช่วยอะไรบ้างเลย สมัยเรียนมัธยมต้นการฟังเพลงภาษาอังกฤษนั้นเท่หรืออย่างไรไม่ทราบ ทำให้ฟังเพลงภาษาอังกฤษมากขึ้น ส่วนมากจะเป็นเพลงวงบอยแบรนด์ แต่มาชื่นชอบเธอจริงๆก็ตอนเธอร้องเพลงพิธีเปิดโอลิมปิค 1996 แถมตอนเรียนฝรั่งเศสคุณครูเปิดเพลง Céline ให้ฟังด้วย ยิ่งชอบเธอใหญ่ ถึงมันจะดูไม่ cool เท่าไหร่ฟังนักร้องรุ่นที่คุณแม่น่าจะชอบ รุ่นเราต้องชอบแบบประมาณแค่ Boyzone, MLTR, Take That  และ ฯลฯ 
Céline มีอัลบัมทั้งหมดแล้วจนถึง ณ เวลานี้ รวมทั้งภาษาอังกฤษ/ฝรั่งเศส และ รวมฮิต 25 อัลบัม แต่เราจะเลือกมาแค่ 10 เพลงเท่านั้น เนื่องด้วยช่วงหลังๆ จขบ ไม่ได้ติดตามผลงานเธอเท่าไหร่ และเกือบครึ่งของผลงานเธอเป็นภาษาฝรั่งเศส ที่ต่อให้ จขบ รู้สึกเท่ขนาดไหนที่จะฟังก็คงฟังแค่ไม่กี่เพลง การจัดอันดับไม่ได้คำนึงถึงความชอบ จขบ จึงเรียงตาม Alphabetical Order

1.            All By Myself ทุกคนน่าจะจำเพลงนี้ได้ดีจากภาพยนต์เรื่อง  “Bridget Jones's Diary” ตอนที่ Renée Zellweger ใส่ชุดนอนและแหกปากร้องเพลงนี้ (อาจจะดูไม่สุภาพแต่เธอทำอย่างนี้จริงๆ แล้วตอนนี้เธอหายไปไหนแล้วเนี้ย) ไม่รู้ว่าจะทราบกันไหมว่าเพลงนี้ Céline เป็นคนนำมาร้อง cover ซึ่งดังกว่าเจ้าของจริงอาจจะมีหลายๆคนนึกว่าเธอเป็นต้นฉบับ ทำไมถึงชอบเพลงนี้คาดว่าตอนดู Bridget Jones's Diary แล้วรู้สึกอินไปด้วยทั้งๆที่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน แต่ไม่อยู่ในลิสเพลงที่ชอบของ Céline จนกระทั่งได้ดูภาพยนต์ค่ะ


2.            Because You Loved Me เรื่องบังเอิญที่เพลงที่สองก็เป็นเพลงประกอบภาพยนต์เรื่อง “Up Close & Personal” แต่เหตุผลที่ชอบเพลงนี้ต่างออกไปจากเพลงแรกค่ะ เพราะเราได้ดูภาพยนต์หลังจากที่ชอบเพลงแล้ว อาจจะเป็นเพราะเนื้อเพลงที่ได้เจ้าแม่นักแต่งเพลงอย่าง Diane Warren มาแต่งให้ ถ้าบอกว่าเธอแต่งเพลงอย่าง “How Do I Live” , “I Don’t Want To Miss a Thing” และเพลงฮิตอีกมากมาย เราว่าเนื้อเพลงช่างกินใจเหลือเกิน แค่ท่อนแรกก็เรียกน้ำตาแล้ว
You were my strength when I was weak
You were my voice when I couldn't speak
You were my eyes when I couldn't see
You saw the best there was in me


3.            Immortality เพลงนี้ไม่ได้ชอบเนื้อเพลงอย่างเดียวแต่ชอบเสียงที่ลงตัวมากระหว่าง Céline กับ Bee Gees มันลงตัวและทำให้เพลงเพราะมากๆ เพลงนี้ Bee Gees คอมโพสให้ Céline ด้วย

4.            It’s All Coming Back To Me Now เหตุผลหลักที่ชอบเพลงนี้เพราะชอบ MV ค่ะ แล้วเพลงอลังการดีเสียงเปียโนก็ดูแบบแบบทำให้ตื่นเต้น


5.            Je Sais Pas หรือ I Don’t Know เวอร์ชั่นเพลงภาษาอังกฤษ เราชอบเวอร์ชั่นภาษาฝรั่งเศสมากกว่าถึงแม้จะฟังไม่ออกแต่อาจจะเป็นเพราะเราได้ฟัง Je Sais Pas ก่อน แถมภาษาฝรั่งเศสมันดูเท่ ช่างเป็นเหตุผลที่แย่ เพลงนี้เขียนโดย Jean-Jacques Goldman นักร้อง/นักแต่งเพลง ที่ดังมากๆในประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส แถมยังเคยได้รับรางวัลแกรมมี่ด้วย


6.            Pour Que Tu M’Aimes Encore เรื่องบังเอิญที่เพลงฝรั่งเศสสองเพลงในอันดับมาอยู่ติดกันและเพลงนี้ก็เป็นฝีมือการเขียนของ Jean-Jacques Goldman อีกเพลง เพลงนี้ได้ยินตอนที่น้าเปิดแล้วก็ชอบทันทีไม่รู้ทำไม ยิ่งพอคุณครูผู้สอนวิชาภาษาฝรั่งเศสมาเปิดให้ฟังอีกครั้งยิ่งชอบเพลงนี้เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ถูกนำมาทำเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ โดยมีชื่อว่า "If That's What It Takes" ตอนโตขึ้นหรือแก่ขึ้นก็พบว่าน่าจะเป็นเพราะเพลงนี้ฮิตเหลือเกินจน Céline เคยให้สัมภาษณ์ว่าเพลงนี้เป็น  “it is the biggest song of her French career
สงสัยด้วยทำนองที่ติดหูวิธีการร้องจนทำให้เราชอบเพลงนี้อย่างไม่ยาก




7.            That’s The Way It Is  เพลงนี้ไม่มีอะไรมากเลยค่ะชอบเพราะเนื้อเพลงล้วนๆ เป็นเพลงบอกว่าถึงเจออุปสรรคในความรักก็ต้องสู้ต่อ แต่มันไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับความรักอย่างเดียว ใช้กับอุปสรรคอะไรก็ได้ในชีวิตค่ะ
When you want it the most
There's no easy way out
When you're ready to go
And your heart's left in doubt
Don't give up on your faith
Love comes to those who believe it
And that's the way it is”


8.            The Power Of The Dream เพลงนี้เป็นเพลงตอนพิธีเปิด 1996 Summer Olympics ที่ Atlanta ฟังครั้งแล้วรู้สึกชอบเลย ดูเป็นเพลงที่หึกเหิมดี เสียงกับพลังของ Céline ช่างลงตัวค่ะ


9.            To Love You More เพลงนี้เป็นเพลงที่ Céline ร้องประกอบซีรี่ย์ญี่ปุ่นที่คนไทยสมัยนั้นตอนช่อง3 เอามาฉายต้องรู้จักและตกหลุมรักเพลงนี้แน่นอน ชื่อเรื่องก็คือ หัวใจไม่ไร้รัก หรือ Koibito Yo คิดดูวงการละครโทรทัศน์ญี่ปุ่นเจ๋งขนาดไหน ให้ Céline มาร้องเพลงประกอบได้ สรุปเราจำเนื้อเรื่องไม่ได้ชอบแต่เพลง


10.    Treat Her Like A Lady เพลงนี้จัดว่าเป็นเพลงเร็วของ Céline ที่เราชอบที่สุด อาจจะเป็นด้วยที่เนื้อเพลงและจังหวะ เพลงนี้เป็นของนักร้องหญิงจากจาไมก้า Diana King เป็นต้นฉบับ และเธอก็มาแรพให้ในเวอร์ชั่นนี้ด้วยค่ะ


หมดแล้วค่ะ 10 อันดับ ถ้าหมดมุกไม่มีอะไรเขียนอีกคงได้เขียนถึงเพลงอีกแน่ๆเลยค่ะ