Friday 15 February 2013

วันไหว้


ไม่ได้เขียนบล๊อกมาอาทิตย์กว่าแล้วมั้งคะ จำไม่ได้ แต่วันนี้ตอนเช้าว่างเลยเขียนบล๊อกซะหน่อยส่วนจะเขียนเรื่องอะไรก็ไม่ได้เตรียมตัว เนื่องจากอินเตอร์เนตที่ออฟฟิศใช้ไม่ได้เลยถือโอกาศอู้ซะเลย (ขณะนี้กำลังนั่งนึกว่าจะเขียนอะไรดีอยู่ค่ะ) จะเขียนเรื่องวาเลนไทน์มันก็ไม่มีอะไรให้เขียน เพราะประสบการณ์เกี่ยวกับวัยวาเลนไทน์ที่น่าจดจำที่สุดคือตอนมัธยม เดินไปซื้อดอกไม้กับเพื่อน แถวๆโรงเรียนนั่นแหละค่ะ ไปแล้วโดนยืมตังค์รู้สึกป่านนี้ยังไม่ได้คืนเลยมั้ง หุหุ รู้สึกตอนเด็กๆจะโดนเอาเปรียบบ่อยๆ ยืมนู่นนี่ ยืมเงินแล้วไม่คืนบ้าง แต่ที่จำได้คือปกติจะถึงโรงเรียนเช้ามาก หกโมงเช้าก็เดินเข้าโรงเรียนแล้วแต่วันนั้นได้มีโอกาสยืนแถวสายครั้งแรกในชีวิต แถมคุณครูที่ชอบเจอกันตอนเช้าๆยังบอกว่ายัยคนนี้ปกติมาแต่เช้า ต้องออกไปโต๋เต๋ไม่ยอมเข้าโรงเรียนแน่ๆ ต้องโดนทำโทษหนัก แต่เราจำไม่ได้นะว่าโดนทำโทษอะไร รู้สึกว่าไม่มีอะไรเพราะมันไม่มีอยู่ในความทรงจำเลย

นึกออกละจะเขียนเรื่องอะไร จะเขียนเรื่องพิธีไหว้ตรุษจีนของที่บ้านเรานะคะ เคยคุยกับเพื่อนเขาบอกว่าไหว้ไม่เหมือนกันค่ะ บ้านเราเยอะ ซึ่งเราก็เห็นด้วยว่าเยอะจริง เยอะจนเหนื่อย หุหุ
คนทำอะเหนื่อย เหนื่อยเหมือนกันทั้งตรุษทั้งสาร์ท ขอเล่าว่าที่บ้านไหว้เยอะมากจัดของไปไหว้ตามศาลข้างๆบ้านด้วย แต่จะไปไหว้ก่อนเพราะวันไหว้จริงจะไม่มีเวลาไปดีนะอันนี้เป็นหน้าที่คนอื่น ส่วนขนมเมื่อก่อนบ้านเราทำแค่ขนมเข่งเองค่ะ แต่เดี๋ยวนี้ทำเองทั้งขนมเข่งและขนมเทียนโดยคนห่อมือฉมังคือแม่กับพี่ที่ออฟฟิศอีกคน ให้เขาไปช่วยเวลาว่างแล้วของพวกนี้ห่อไว้ก่อนนานมากค่ะ ห่อแล้วเก็บตู้ฟรีซนอนไว้ (ตู้ที่ตามร้านอาหารใช้อะค่ะ) แล้วก็ต้มเป็ดไก่หมูเอง เพราะซื้อเขาเดี๋ยวนี้แพงมากแถมใช้เยอะ เพื่อนบอกว่าเขาฮิตเอาเป็ด MK มาไหว้กันตัวละ 600 บาท ถ้าไหว้ตัวเดียวคงไม่เป็นอะไร แต่บ้านเราใช้เยอะต้มเองคุ้มกว่าเยอะค่ะ ยังไม่รวมอาหารต่างๆ ที่บ้านจะต้มไข่พะโล้ไว้ก่อนค่ะ แล้วก็จะมีพี่ที่ทำครัวกับแม่ตื่นมาทำอาหารกันตั้งแต่ตีสามเลยมั้ง มาทอดปลา ของทอด ทำกับข้าว

คราวนี้มาถึงพิธีการ เราจะตื่นมาตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเพื่อเสียบกาต้มน้ำ จัดน้ำชาไว้ให้ป้าลงมาไหว้เจ้าตอนเช้า แล้วก็เปิดประตูให้คนมาเอาของไปไหว้ออฟฟิศกับไหว้รถ (ดีนะที่ของจัดใส่จานไว้ตั้งแต่กลางคืนแล้ว) หลายๆคนเคยบอกว่าไม่เคยเห็นไหว้รถแต่แถวจังหวัดเราเขาไหว้กันนะคะเขาถือว่ารถมีแม่ย่านางคล้ายเรือมั้งแถมเป็นเครื่องมือทำมาหากิน วันไหว้นี่จะเห็นรถมีดอกไม้ผูกไว้หน้ารถวิ่งกันขวักไขว่ เรื่องไหว้ที่ออฟฟิศกับรถไม่ใช่หน้าที่เรา ฉะนั้นเราไม่รู้รายละเอียดมากนักนะคะ มาหน้าที่เราดีกว่า พอดูของเรียบร้อยป้าเราจะมาไหว้ไล่มาตั้งแต่ ศาลพระภูมิ, เจ้าที่ ที่อยู่ข้างนอก แล้วเขาก็จะเข้าไปไหว้ตี้จู้เอี๊ยะ ออกมาลา (รอธูปหมด) สิ่งของที่ไหว้พระภูมิและเจ้าที่ ให้เราเอากระดาษไปเผา พอเผาเสร็จถึงจะจุดประทัด แล้วเราก็ต้องไปตามเอากระดาษเงินกระดาษทองที่ของไหว้ในบ้านมาเผา ในบ้านไม่ใช่ไหว้แต่ตี้จู้เอี๊ยะนะคะ ยังมีกระดาษไหว้พระกับไหว้เจ้าแม่ทับทิมอีก เมื่ออะไรเสร็จก็น่าจะประมาณสัก แปดโมงกว่าก็ได้เวลาอาบน้ำเพื่อเตรียมของไหว้บรรพบุรุษ ซึ่งจะอาหารจัดเต็มมากๆ จะต้องมีหมี่สั่วผัด ไข่พะโล้ ถั่วงอกผัดเป็นอาหารยืนพื้นจากนั้นก็แล้วแต่คนทำอาหาร ถ้ามีพวกกุ้งต้ม กั้งต้ม จะต้องแกะเปลือกออกให้หมดเพราะเชื่อว่าพวกนี้แข้งขายั้วเยี้ยจะเกี่ยวขัดกันจนมีปัญหาระหว่างคนในบ้านได้ (แกไปก็เห็นว่ายังมีอะนะ หุหุ) ผลไม้ก็ต้องมีส้ม มีกล้วย แล้วก็แล้วแต่ใครจะซื้ออะไรมา ไหว้ก็ต้องไหว้ 3 รอบ ไม่รู้ที่อื่นเป็นอย่างบ้านเราไหม พอครบก็รอสักพักเตรียมลารับประทานอาหารร่วมกันแต่ก่อนทานเด็กๆต้องลงไปเผากระดาษก่อนเผาเสร็จทานอาหาร  หลังจากนั้นจะมีเวลาพักเล็กน้อยสักบ่ายสองก็ต้องเตรียมของไหว้กลางแจ้ง ที่บ้านเราเรียกว่าไหว้เฮียตี๋(ผีไม่มีญาติ) จะไหว้กันเป็นหม้อเลยนะคะ แล้วไหว้เนี้ยต้องจุดธูปปักลงไปในอาหารทุกจาน จานเปล่าช้อนซ่อมก็ต้องมีธูปเสียบไว้ด้วยนะคะ แต่ที่เหนื่อยสุดช่วงแดดร้อนเปรี้ยง เด็กๆต้องมีหน้าที่เอาธูปไปปักรอบบริเวณบ้าน บริษัท ยิ่งบริเวณกว้างเท่าไหร่ก็ยิ่งร้อน หลังจากนั้นรอให้ธูปที่ปักไว้ในอาหารซึ่งต้องปักสามรอบเหมือนกันใกล้หมดก็ลาแล้วก็เอากระดาษเงินกระดาษทองมาเผาอีก แล้วก็จุดประทัดพอจุดประทัดเสร็จเก็บของตักของที่มีอยู่มหาศาลแจกตามบ้านคนรู้จัก แล้วก็เป็นเวลาที่หลายๆคนรอคอย คือ เวลาแห่งการแจกแต๊ะเอียค่ะ สำหรับเรามันเป็นเวลาไปล้างหน้าล้างตาเปิดแอร์นอนก่อนตื่นมาทานข้าวเย็นตอนค่ำๆค่ะ

สรุปแล้วตอนเด็กๆเราสนุกกับการหยุดเรียน ได้เจอญาติพร้อมพับกระดาษเงินกระดาษทองครีเอทมากมายว่าจะพับเป็นอะไรดีเยอะแยะไปหมด เมื่อโตขึ้นรู้สึกเหนื่อยมากขนาดเราไม่ได้ทำเท่าที่อีกหลายๆคนทำนะเรายังเหนื่อยเลย  อะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด

ลากันไปง่ายๆ เหมือนเป็นบล๊อกบ่นเลยเนอะ

Sunday 3 February 2013

Cinema Paradiso


Cinema Paradiso

จขบ ต้องรีบเขียนเรื่องมาลงเพราะเดี๋ยวผู้อ่านที่มีอยู่น้อยนิดจะเข้าใจว่าเลิกเขียนบล๊อกไปแล้ว ยังไม่เลิกค่ะ เพียงแต่ยุ่งจริงๆแถมไม่มีอะไรที่ทำ ดู อ่าน ฟัง น่าสนใจที่จะเขียนถึงสักเท่าไร แต่ในเมื่อคิดว่าต้องเขียนเลยพยายามหาเรื่องมาเขียนจนได้ค่ะ ความเป็นจริงอยากเขียนถึงเรื่อง Les Misérables แต่ยังไม่ได้ดูอาทิตย์ที่ผ่านมาไปกรุงเทพมาแต่หนังยังไม่เข้าโรงมั้งคะเลยไม่ได้ดู โดยส่วนตัวเคยอ่านหนังสือแปลเป็นไทยแต่ไม่ใช่ภาคสมบูรณ์ เลยว่าจะไปหาหนังสือเรื่อง เหยื่ออธรรม- ฉบับสมบูรณ์แปลโดย คุณวิภาดา กิตติโกวิท มาอ่านดู ก่อนจะดูหนังคิดว่าอาจจะทำให้อรรถรสในการรับชมดีขึ้น แต่ในเมื่อวันนี้เราไม่ได้จะพูดถึง Les Misérables จึงไม่พิมพ์อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เดี๋ยวตอนจะคุยจริงกลายเป็นไม่มีข้อมูลอะไรเหลืออยู่ J

หนังเรื่องที่จะเขียนถึงเรื่องนี้เป็นหนังเก่ามากได้รางวัลต่างๆนาๆตั้งแต่ จขบ อายุยังไม่ถึงสิบขวบ แต่ใครเป็นคอหนังไม่ดูหนังเรื่องนี้เขาว่าคุณไม่เป็นคอหนังที่แท้จริง จขบ เคยดูหนังเรื่องนี้ตั้งนานเป็นสิบปีมาแล้ว แต่ดูอย่างไม่ตั้งใจดูคือเขาเปิดหนังรางวัลให้ดูทุกวันพุธจะเป็น Film Night เราก็ไปนั่งดูกับเพื่อน ดูไปคุยไปไม่ได้สนใจจนไปได้ DVD เรื่องนี้มาจากร้านแมงป่อง ในราคา 100 บาท ก็เลยมาดู ก่อนจะเขียนถึงก็ดูไปสองรอบ รอบแรกดูแบบเอา feeling ไม่ได้เก็บข้อมูลอะไร รอบสองดูแบบเก็บข้อมูลว่าชอบอะไรในหนังนะ รอบแรกดูแบบ Sub ไทย รอบสอง Sub อังกฤษ อ่านบทไปด้วย ดูแล้วชอบนะคะ

Cinema Paradiso เป็นหนังอิตาลี กำกับโดย Giuseppe Tornatore ที่ได้รับรางวัลมากมายจากเวทีใหญ่ๆทั่วโลก ทั้ง Oscars, Golden Globes และ BAFTA หนังเรื่องนี้จะเป็นการรำลึกถึงอดีตของ Salvatore หรือ โตโต้ เขาได้รับข่าวจากแม่ที่เขาไม่ได้กลับไปเยี่ยมเป็นเวลา 30 ปี นับตั้งแต่จากมา หนังจะได้ย้อนกลับไปเล่าถึงโตโต้ในวัยเด็กว่าเขาทำอะไร เขาชอบหนัง การชอบของเขาไม่ใช่แค่ดูหนังอย่างที่หลายๆคนอย่าง จขบ ทำ แต่โตโต้ชอบเข้าไปดูการฉายหนัง แอบเข้าไปดูแต่เด็กเกะกะ ลุง Alfredo จนถูกตะเพิดออกมาหลายครั้งแต่เขาก็พยายามที่จะกลับไป บ่งบอกถึงความเพียนพยายามว่าคนเราต้องทำในสิ่งที่ชอบ ที่รัก แล้วในที่สุดมันจะประสบความสำเร็จ มีอาชีพเลี้ยงตัว เรื่องนี้ยังเล่าถึงความผูกพันธ์ระหว่างโตโต้กับ Alfredo ซึ่งมันทำให้หลายๆคนเสียน้ำตารวมถึง จขบ ด้วย จขบ จะไม่ Spoil นะคะ แนะนำให้ไปหาดูนะคะ สมมุติเดินผ่านแมงป่องแล้วเห็นแผ่นในราคาไม่เกินร้อยก็ซื้อมาดูนะคะ

เราชอบประโยคนี้ที่ Alfredo พูด “Whatever you end up doing, love it. The way you loved the projection booth when you were a little squirt.”



ขอจบบล๊อกไปอย่างสั้นๆแค่นี้ค่ะ อาทิตย์หน้ายุ่งมาก วันพฤหัสบดีไปกรุงเทพ เสาร์-อาทิตย์ ไปเพชรบุรี